วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีแก้ไขกามฉันทะ

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ





2.3.1 ตามคัมภีร์


ในอรรถกถา พระไตรปิฎกได้กล่าวถึงการละกามฉันทะ ด้วยวิธีการ 6 ประการ คือ

1. การเรียนอสุภนิมิต

2. การประกอบเนืองๆ ในอสุภภาวนา

3. ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์

4. ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ

5. ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร

6. การกล่าวถ้อยคำแต่ที่เป็นสัปปายะ



1. การเรียนอสุภนิมิต คือ ศึกษาความไม่งามในร่างกาย โดยพิจารณาให้เห็นความเป็นของน่าเกลียดในร่างกายของตนเองและคนอื่นว่า กายนี้ ตั้งแต่พื้นเท้าจนจดปลายผมเต็มไปด้วยของไม่สะอาด ปฏิกูล ไม่งามทั้งสิ้น

     แท้จริงร่างกายของคนเรานั้นเต็มไปด้วยของไม่สะอาดต่างๆ อยู่ภายใน และมีของไม่สะอาดไหลออกจากกายนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีทวารหรือช่องสำหรับถ่ายเทของไม่สะอาดออกจากร่างกายนี้อยู่ 9 ช่องคือ มีขี้ตาไหลออกจากตาทั้ง 2 มีขี้หูไหลออกจากหูทั้ง 2 มีน้ำมูกไหลออกจากกระพุ้งจมูกทั้ง 2 มีขี้ฟัน เลือดและอาเจียนไหลออกจากปาก มีปัสสาวะไหลออกจากทวารเบา มีอุจจาระไหลออกจากทวารหนัก นอกจากทวารทั้ง 9 นี้แล้วยังมีเหงื่อไหลออกจากรูขุมขนซึ่งท่านกล่าวว่ามีถึง 99,000 ขุม

ร่างกายนี้เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ และยังเต็มไปด้วยซากศพนานาชนิดที่มนุษย์รับประทานเข้าไป เช่น ศพเป็ด ศพไก่ ศพกุ้ง ศพปลา ศพวัว และศพควายเป็นต้น ซ้ำยังมีเชื้อโรคนานาชนิดอาศัยเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้จึงเป็นรังแห่งโรค

     ความไม่สะอาดในร่างกาย หากเราพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยปัญญา เราก็จะเห็นได้ชัดเจน เช่น ถ้าเจ้าของร่างกายไม่อาบน้ำเพียงวันเดียวโดยเฉพาะฤดูร้อนจะมีกลิ่น ยิ่ง ปล่อยไว้นานวันยิ่งเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น แม้เจ้าของกายเองก็ไม่ชอบใจ เมื่อพูดกันตามความจริงแล้ว กายนี้มองดูว่าสวยก็เพราะมีผิวหนังปิดไว้และเครื่องอาภรณ์ปกปิดไว้ต่างหาก ถ้าไม่มีเครื่องอาภรณ์หรือผิวหนังปกปิดไว้ก็จะสกปรกอย่างยิ่ง ไม่มีการแตก ต่างกันอะไรระหว่างร่างกายของพระราชาและคนจัณฑาล คือมีความสกปรกปฏิกูลน่าเกลียดเหมือนกันหมด ถ้าพิจารณาเห็นร่างกายว่าเป็นของไม่งามอย่างนี้จัดเป็นอสุภนิมิตก็จะทำให้ กามฉันทะสงบลงได้

2. การประกอบเนืองๆ ในอสุภภาวนา คือ หมั่นเจริญอสุภะบ่อยๆ นึกถึงความน่าเกลียด และความสกปรกในร่างกายบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย และไม่เกิดความยินดีในเรื่องเพศเรื่องกาม อันจะเป็นเครื่องขัดขวางใจไม่ให้สงบนิ่ง

3. อินทรีย์สังวร คือ การสำรวมระวังตนโดยอาศัยสติเป็นตัวกำกับ โดยอินทรีย์ในที่นี้หมายถึง ช่องทางที่ติดต่ออยู่กับภายนอก ซึ่งในตัวของคนเรานี้มีช่องทางติดต่อกับภายนอกอยู่ 6 ทาง คือ

1. ตา

2. หู

3. จมูก

4. ลิ้น

5. กาย

6. ใจ

ร่างกายก็เหมือนบ้านที่มีประตูหน้าต่างอยู่ 6 ช่องทาง สิ่งต่างๆ ภายนอกที่เราจะรับรู้ รับทราบก็มาจาก 6 ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ดีทำให้ใจของเราสงบผ่องใสก็มาจาก 6 ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ใจของเราฟุ้งซ่าน ขุ่นมัว ก็มาจาก 6 ทางนี้เหมือนกัน ช่องทางทั้ง 6 นี้ นับว่ามีความสำคัญมาก เราจึงควรมารู้จักถึงธรรมชาติของช่องทางทั้ง 6 นี้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบช่องทางทั้ง 6 ไว้ดังนี้

1. ตาคนเรานี้เหมือนงู คือชอบที่ลับๆ อะไรที่เขาปกปิดเอาไว้ ชอบดู ยิ่งปกปิดยิ่งอยากดู แต่อะไรที่เปิดเผยออกแล้วไม่ลับแล้ว ความอยากดูกลับลดลง

2. หูคนเรานี้เหมือนจระเข้ คือชอบที่เย็นๆ อยากฟังคำพูดเย็นๆ ที่เขาชมตัว หรือคำพูดเพราะๆ ที่เขาพูดกับเรา

3. จมูกคนเรานี้เหมือนนกในกรง คือชอบดิ้นรน พอได้กลิ่นอะไรหน่อย ก็ตามดมทีเดียว ว่ามาจากไหน

4. ลิ้นคนเรานี้เหมือนสุนัขบ้า คือบ้าน้ำลาย ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร ขอให้ได้นินทาชาวบ้านละก็ชอบ

5. กายคนเรานี้เหมือนสุนัขจิ้งจอก คือชอบที่อุ่นๆ ที่นุ่มๆ ชอบซุก เดี๋ยวจะไปซุกตักคนโน้น เดี๋ยวจะไปซุกตักคนนี้ ชอบอิงคนโน้น ชอบจับคนนี้

6. ใจคนเรานี้เหมือนลิง คือชอบซน คิดโน่น คิดนี่ ประเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านถึงเรื่องในอดีต ประเดี๋ยวก็สร้างวิมานในอากาศถึงเรื่องในอนาคต ไม่ยอมอยู่นิ่ง ไม่ยอมสงบ

    อินทรีย์สังวร ก็คือ สำรวมระวังช่องทางทั้ง 6 เพราะเรารู้ถึงธรรมชาติของช่องทางนี้แล้วก็ต้องคอยระวังใช้สติเข้าช่วยกำกับ อะไรที่ไม่ควรดูก็อย่าไปดู อะไรที่ไม่ควรฟังก็อย่าไปฟัง อะไรที่ไม่ควรดมก็อย่าไปดมอะไรที่ไม่ควรลิ้มชิมรสก็อย่าไปชิม อะไรที่ไม่ควรสัมผัสก็อย่าไปสัมผัส อะไรที่ไม่ควรคิดก็อย่าไปคิด หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรดูเข้าแล้ว ก็ให้จบแค่เห็น ไม่คิดปรุงแต่งต่อว่าสวยจริงนะหล่อจริงนะ ต้องไม่นึกถึงโดยนิมิต หมายถึงเห็นว่าสวยไปทั้งตัว เช่น คนนี้สวยจริงๆ ต้องไม่นึกถึงโดย อนุพยัญชนะ หมายถึง เห็นว่าส่วนใดส่วนหนึ่งสวย เช่น ตาสวย ปากสวย หรือแขนสวย ขาสวย เป็นต้น

อินทรีย์สังวรนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราสู้กับกิเลสชนะหรือแพ้ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเรามีอินทรีย์สังวรดีแล้ว โอกาสที่กิเลสจะรุกรานเราก็ยาก คุณธรรมต่างๆ ที่เราตั้งใจรักษาไว้ก็จะสามารถทำได้ อย่างที่ตั้งใจ เหมือนบ้าน ถ้าเราใส่กุญแจ ดูแลประตูหน้าต่างอย่างดีแล้ว ถึงแม้ตามลิ้นชักตามตู้จะไม่ได้ใส่กุญแจก็ย่อมปลอดภัย โจรมาเอาไปไม่ได้ แต่ถ้าเราขาดการสำรวมอินทรีย์ไปดูในสิ่งที่ไม่ควรดู จับต้องสัมผัสในสิ่งที่ไม่ควรสัมผัส คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ฯลฯ แม้เราจะมีความตั้งใจรักษาคุณธรรมต่างๆ ดีเพียงไร ก็มีโอกาสพลาดได้มาก เหมือนบ้านที่ไม่ได้ปิดประตูหน้าต่าง แม้จะใส่กุญแจตู้ลิ้นชักดีเพียงไร ก็ย่อมไม่ปลอดภัย โจรสามารถมาลักไปได้ง่าย

ผู้มีอินทรีย์สังวรดี สมาธิย่อมเกิดได้ง่าย สมาธิจะตั้งมั่น ปัญญาก็เกิดขึ้น เป็นความสว่างภายในเห็นถึงสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เห็นถึงตัวกิเลสที่ซุกซ่อนอยู่ภายในและสามารถกำจัดไปให้หมดสิ้นได้

4. รู้ประมาณในโภชนะ อาหารที่กินเข้าไปก็มุ่งหวังเพื่อนำมาหล่อเลี้ยงอัตภาพร่างกายให้ได้ดำรงคง อยู่เป็นปกติ แต่การไม่รู้จักประมาณในการบริโภค เช่น บริโภคมากเกินไป นอกจากจะทำให้เกิดโทษ มีอาการอึดอัด ไม่สบายกาย หรือทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ แล้ว ยังเป็นเสบียงกาม ทำให้กามกำเริบได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแนะนำให้อุบาสก-อุบาสิกาผู้จะปฏิบัติธรรม ให้รักษาอุโบสถศีล หรือ ศีล 8 ซึ่งมีข้อหนึ่งที่ว่าด้วยการงดเว้นการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล หลังเที่ยงวันไป เพราะอาหารในเวลานั้น จะเป็นอาหารที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน เนื่องจากช่วงค่ำ มักเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อน อาหารนี้จึงถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไปสะสมเก็บไว้ ซึ่งพลังงานเหล่านี้ถ้าเราไม่ได้นำแปรเปลี่ยนเป็นกิจกรรม หรือการสร้างความดีต่างๆ ก็ย่อมจะเปลี่ยนเป็นพลังกามตามกระแสกิเลสที่อยู่ในใจของมนุษย์ ดังนั้น ท่านจึงแนะนำให้รู้จักการประมาณในการบริโภค ให้บริโภคแต่พอดี ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป

5. ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร คือ การเข้าหากัลยาณมิตร ที่ไม่ชอบพูดเรื่องเพศ เรื่องกาม เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือคุยเรื่องฟุ้งเฟ้อ เรื่องแต่งตัวสวยๆ งามๆ อันเป็นเหตุให้เราพลอยคิด พูด ทำ ไปเช่นเดียวกัน รวมทั้งหลีกห่างไกลจากแหล่งอบายมุข ผับ บาร์ อาบ อบ นวด สถานเริงรมย์ต่างๆ อันเป็นแหล่งมั่วสุมของสิ่งยัวยุกามให้เกิดขึ้น

6. การกล่าวถ้อยคำที่เป็นสัปปายะ คือ พูดคุยกันในเรื่องความไม่งามของร่างกาย ที่จะทำให้เห็นทุกข์โทษภัยของความทะยานอยากในกาม รวมถึงพิจารณาให้เห็นโทษภัยของกาม และควรพูดคุยกันในเรื่องที่จะทำให้มักน้อย สันโดษ ไม่ฟุ้งเฟ้อกับสิ่งต่างๆ ภายนอกตัว อันทำให้ใจครุ่นคิด ปรารถนา และคอยแสวงหา ซึ่งเมื่อคุยเช่นนั้นใจก็จะสงบนิ่ง มีความพึงพอใจ สุขใจในสิ่งที่ตนเองมี





ขอนอบน้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง"

ขอขอบคุณเจ้าของเรื่องและภาพมา ณ โอกาสนี้

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปฎิรูปใครก่อนหนอ?

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ



  
  ปฏิรูป                      ประเทศ                    พัฒนาไทย
คือธงชัย                     พลิ้วสะบัด                อยู่เบื้องหน้า
หากมุ่งมั่น                  จริงใจ                       หมายไขว่คว้า
พึงหาญกล้า               กำราบ                       กำจัดพาล



 ฏิรูป                     "นักการเมือง"            เป็นเบื้องต้น
ให้ล่วงพ้น                "นักกินเมือง"             เลื่องกล่าวขาน
 งาน"การเมือง "      " เพื่อ" การเมือง            อุดมการณ์"
ใช่เพื่อพราง              พร่าผลาญ                    แผ่นดินไทย
 
 ปฏิรูป                      "ข้าราชการ"                 กลไกรัฐ
 ปฏิบัติ                     "ราช-การ"                    งานยิ่งใหญ่
งาน"ในหลวง"        เพื่อปวงชน                   สุขกายใจ
ใช่งานสนอง            ตัณหาใคร                     ตามใจตน
 
 ฏิรูป                      "ประชาชน"                 เป็นรากฐาน
 สัดส่วนมาก             สูงสุด                            สัมฤทธิ์ผล
"อธิปไตย"..              เพื่อประโยชน์                ประชาชน
นักการเมือง              ร้อยเล่ห์กล                    ฤากล้ำกราย
 
กระบวนการ              ปฏิรูป                             ที่ร่ายเรียง
ล้วนเป็นเพียง           เเนวทาง                         ที่มาดหมาย
หาก "ธรรม"             มิครองใจ                        วาจา กาย
วาระสุดท้าย            ก็ล้มเหลว ..                     เลวต่อไป
 
เหตุไฉน                 "พุทธแท้"                       มิหยั่งจิต
"องค์กรสงฆ์"       เคยครุ่นคิด                       คลางแคลงไหม
สังคมไร้                 "คุณธรรม"..                   เพราะเหตุใด
น่า "ปฏิรูป"          องค์กรไหน                       นำร่องหนอ ?
 


ขอบคุณ พ.ต.ท. รุ่งโรจน์ เรืองฤทธิ์
บรรณาธิการ น.ส.พ. เราคิดอะไร คอลัมน์ ปิดท้าย
น.ส.พ.เราคิดอะไร ปีที่ 16 ฉบับที่ 241 เดือนสิงหาคม 2553

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักปุ่ม F บนคีย์บอร์ดกันดีกว่า‏

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ

หากพูดถึงปุ่มตระกูล F (Function) บนแป้นคีย์บอร์ด น่าจะเป็นปุ่มที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต้องพบเห็นบ่อยๆ และคุ้นเคยกันดี เนื่องจากมันถูกวางเรียงอยู่แถวบนสุดของคีย์บอร์ด แถมยังมีจำนวนมากตั้งแต่ F1 ไปจนถึง F12




  แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ปุ่มตระกูล F เหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรกันบ้าง เอาเป็นว่าเราลองมาทำความรู้จักคุณสมบัติเฉพาะตัวของปุ่มลัดเหล่านี้กันดี กว่า เพื่อว่าคราวต่อไปคุณจะได้ใช้ประโยชน์กับมันได้มากขึ้น
F1 - นี่คือปุ่มทางลัดเข้าสู่คู่มือช่วยเหลือ (Help) ของโปรแกรมต่างๆ และถ้าคุณกดปุ่ม Windows Key ตามด้วย F1 มันก็คือปุ่ม Help ของโปรแกรมไมโครซอฟท์นั่นเอง

F2 - ถ้าคุณกดปุ่มนี้ขณะอยู่บนจอเดสก์ท็อป มันคือการไฮไลต์โฟลเดอร์หรือไฟล์เพื่อเตรียมจะเปลี่ยนชื่อ และถ้าอยู่บนโปรแกรม Microsoft Word เมื่อคุณกดปุ่ม Ctrl + F2 มันคือการ Preview เอกสารก่อนพิมพ์

F3 - ปุ่มนี้ใช้เป็นทางลัดเข้าสู่ระบบ Search ของโปรแกรมต่างๆ

F4 - กดปุ่ม Alt + F4 คือการออกจากโปรแกรมที่กำลังใช้งาน

F5 - เมื่อกำลังท่องเว็บไซต์ กดปุ่มนี้คือการทำ Refresh หรือ Reload หน้าเว็บไซต์อีกครั้ง

F6 -
คือปุ่มที่ใช้เลื่อน Cursor ไปยัง Address Bar ขณะใช้งานเว็บเบราว์เซอร์

F7 - กดปุ่มนี้เมื่ออยู่ใน Microsoft Word คือการเรียกเช็กระบบตรวจสอบคำผิด

F8 - ปุ่มลัดใช้เรียก Start Menu เวลาอยู่ใน Safe Mode

F9 -
ปุ่มลัดเข้าสู่ระบบวัดระยะของโปรแกรม Quark 5.0

F10 - กดปุ่ม Shift + F10 คือการทำงานเสมือนคุณกำลังคลิกขวาที่เมาส์

F11 - กดปุ่มนี้เพื่อการเรียกดูเบราว์เซอร์แบบ Full Screen

F12 -
ใช้เป็นคำสั่ง Save as เมื่ออยู่ในโปรแกรม Microsoft Word

ที่มา : http://marsmag.net

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จงดูแล รักษา ความสามารถ

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ


จงดูแล รักษา ความสามารถ
รู้รักษา ความสะอาด ทางจิต
มุ่งชำระ มลทิน ทุกถิ่นทุกทิศ
สร้างชีวิต สะอาดใน-ใจเอย
*อาบน้ำชำระกาย
ล้างกิเลสชำระใจ
   

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

กำแพงหัวใจ

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ




ผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆน่ารักหลังหนึ่งริมทะเล

เธออยู่กับสามีของเธอ บ้านหลังนี้มีหน้าต่างอยู่บ้าง แต่ด้านที่หันเข้าหา
ทะเลกลับไม่มีหน้าต่างเลย มีแต่กำแพงเก่าๆหนาๆอันหนึ่งตั้งอยู่
ผู้หญิงคนนี้เคยเอ่ยขึ้นมาว่า
" ถ้าเราทลายกำแพงนี้แล้วสร้างเป็นหน้าต่าง ก็คงจะทำให้รับลมทะเลอันสดชื่นได้เยอะเลย "

แต่สามีของเธอบอกว่า
" บ้านหลังนี้เก่ามากแล้ว ถ้าเราทลายกำแพงอาจทำให้บ้านทั้งหลังพังลงมาก็ได้ " 
ผู้หญิงคนนั้นเชื่อฟังสามี และก็ได้แต่เก็บความคิดอันนั้นไว้ในใจ

เธอคิดว่าที่เขาพูดก็คงมีเหตุผลที่ดี บ้านที่เก่าแล้ว เราไม่ควรเปลี่ยนอะไรมาก วันหนึ่ง
สามีของเธอมาตายจากไปเธอต้องเผชิญหน้ากับการเป็นหม้าย การที่ต้องอยู่คนเดียวเธอไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิตใหม่นี้

ไม่กล้าที่จะทำอะไรเลยสักอย่าง เพราะเธอไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลง มันจะทำให้เธอต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

ถ้าเธอออกจากบ้าน ไปหางานทำ ไปสร้างสังคมใหม่ชีวิตของเธอจะพลิกผัน ไปเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้เธอจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ

ปล่อยให้วันคืนผ่านไปโหยหาอยากให้อดีต กลับคืนมา อยากให้วันคืนเดิมๆย้อนมา ทั้งๆที่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้

แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้น เธอมักจะฝัน

เธอฝันบ่อยๆว่าเธออยากจะทลายกำแพงฝั่งที่ติดทะเลนั้น

เธอเตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อม แต่ก็ลังเล ไม่กล้าที่จะทำเสียทีเพราะกลัวว่าบ้านจะพังลงมา และทุกครั้งที่เธอตื่นนอน
เธอก็จะมาด้อมๆมองๆที่กำแพง ใจหนึ่งก็อยากจะพังมันให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่อีกใจหนึ่งก็ยังนึกถึงคำที่สามีบอก
" บ้านมันเก่ามากแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก "

และในที่สุด เธอก็อดรนทนไม่ไหวเธอเล่าความฝันให้เพื่อนบ้านของเธอฟัง เพื่อนบ้านของเธอเป็นหนุ่มสาวนิสัยดีคู่หนึ่ง
เมื่อพวกเขาได้ฟังดังนั้น ก็ไม่รอช้า รีบคว้าอุปกรณ์ต่างๆแล้วมุ่งหน้ามาที่บ้านเธอ พวกเขาลงมือทลายกำแพงนั้นทันที
ในขณะที่หญิงเจ้าของบ้านพร่ำอุทานด้วยความหวาดกลัว
" ทำแบบนี้จะดีเหรอคะ "
" บ้านอาจจะพังลงมา! ก็ได้ "
" นี่ฉันกำลังปล่อยให้พวกคุณทำอะไรกันอยู่ ฉันบ้าไปแล้วรึเปล่า ? "


แต่เพื่อนบ้านผู้แสนดีของเธอก็ยังคงลงมือพังกำแพงต่อไปแล้วก็บอกกับเธออย่างอ่อนโยนว่า
" บ้านของคุณจะปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง "

และในที่สุดกำแพงนั้นก็พังทลายลงมาและบ้านของเธอก็ยังยืนหยัดอยู่อย่างสบายสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปก็คือ...
ลมเย็นๆแสนสดชื่นจากชายทะเลที่พัดเข้ามาในบ้านเธอได้ตลอดวันตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้ได้เข้าใจแล้วว่า
การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวขนาดนั้น บ้านของเธอ และตัวของเธอไม่ใช่สิ่งที่เก่าเกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งบ้านของเธอ และตัวของเธอเองเข้มแข็งพอที่จะรับสิ่งใหม่ๆ ถ้าเพียงเธอกล้าพอที่จะยอมให้สิ่งใหม่ๆนั้นเข้ามา

คุณล่ะ.............มีกำแพงแบบนี้อยู่ในชีวิตของคุณบ้างไหม ?
มีบางสิ่งบางอย่างรึเปล่า..........ที่ลึกๆในหัวใจเรียกร้องอยากจะทำ
แต่คุณก็ไม่ยอมทำเสียที เพราะมัวแต่คิดว่านั่นมันไม่ใช่ฉัน
ไม่ใช่ชีวิตแบบที่ฉันรู้จัก ไม่ใช่สิ่งที่ฉันวางแผนไว้ว่าจะทำ
คุณกลัวว่าเจ้าสิ่งใหม่ๆอันนั้นจะทำให้ชีวิตที่คุณสร้างมาดิบดีจะต้องพังทลายลง
คุณกลัวที่จะต้องออกจากความคุ้นเคยเก่าๆออกจากชีวิตแบบเดิมๆที่คุณรู้จักดีมาตลอด
ทลายกำแพงนั้นลงเถอะนะแล้วปล่อยให้ สายลมแห่งความสุขพัดเข้ามาในชีวิตของคุณ
" อย่าติดกับวันที่ดีเก่าๆ
อย่าอยู่กับความคุ้นเคยเก่าๆ
อย่าให้วันคืนที่ดีเก่าๆมันทำร้าย
เปิดดวงใจของเธอค้นหาสิ่งที่เธอนั้นคอยไขว่คว้า
ให้เวลารักษาและพาให้พบ....กับวันใหม่ " 

 


ขอบคุณข้อมูลจาก{นานาสาระ ธรรมะสวัสดี: ฉบับที่ 5966}

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตะลึง!น.ร.โหนสะลิงข้ามเขา ไปร.ร


สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ

เดลี่เมล์รายงานว่า เมื่อ 22 มี.ค. นักเรียนในย่านชนบทของโคลัมเบียเดินทางไปโรงเรียนด้วย วิธีที่น่าตื่นเต้นหวาดเสียวที่สุด โดยต้องนั่งในกระสอบผ้าที่มีตะขอเก่าๆ ขึ้นสนิม เกี่ยวไว้กับเส้นลวดสะลิงที่ขึงข้ามแม่น้ำและหุบ เขาเป็นระยะทาง 400 เมตร วิ่งฉิวด้วยความเร็วสูงถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่ตั้ง อยู่อีกฝั่ง หมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งอยู่ห่างจากกรุงโบโกตา ไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทาง 64 กิโลเมตร มี แม่น้ำและหุบเขาคั่น นักเรียนและชาวบ้านต้องอาศัยสะ ลิงโหนตัวในการเดินทางออกไปสู่โลกภายนอก โดยมีสายเคเบิล 12 เส้นขึงอยู่กับหุบเขาเพื่อเป็นเส้นทางคมนาคม ด.ญ.เดซี่ โมรา อายุ 9 ขวบ กับน้องชายวัย 5 ขวบ ต้องใช้วิธีโหนสะลิงนี้ไปเรียนหนังสือทุกวัน เช่น เดียวกับชาวบ้านจากหมู่บ้านเดียวกัน โดยการเดินทางที่ชวนหวาดเสียวนี้ นายอเล็กซานเดอร์ ฮัมโบลด์ นักสำรวจชาวเยอรมัน เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ทดลอง ทำตามเมื่อปีพ.ศ.2347

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

เรื่อง: เศรษฐกิจยุคพล.อ.เปรม

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ




เศรษฐกิจยุคพล.อ.เปรม
...ค่าแรง 80-120 บ/วัน แต่อาหารถูกมาก กับข้าวจานละ 2-3 บาท
...ค่าน้ำ ค่าไฟ สุดจะถูก เปิดแอร์นอนทั้งคืนสบาย!!
...ค่าน้ำมันสุดถูกลิตรละ 5-6 บาท
...ค่าเครื่องบินสุดถูก
...ค่าไปรษณีย์+ขนส่งสุดถูก
...ดอกเบี้ยไฟแนนซ์และสถาบั
นการ เงินต่างๆถูก ผ่อนรถ 2 ปีหมด
...ดอกเบี้ยธนาคารสุดถูก ผ่อนบ้าน 15 ปีหมด
...ค่าครองชีพถูกมาก ปชช.มีเงินออมเหลือเฟือ
...ค่าวัสดุก่อสร้างสุดถูก บ.รับเหมาก่อสร้างเริ่มบูม!!!!
...การทุจริตคอร์รัปชั่นแทบจะ บางเบา
...ไม่มีการละเมิดรัฐธรรมนู
...ไม่มีเรื่องการหมิ่นสถาบัน
...ปชช.ถูกสอนให้มีความซื่อสัตย์ ขยันทำกิน และใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ตามพระราชดำรัสของในหลวง
...ทุกภาคเหนือ อีสาน ใต้ ปชช.อยู่กันอย่างสงบสุขและผสมผสานขนบธรรมเนียมประเพณีกันอย่างลงตัว
...อัตราการเพิ่มขึ้นของคนชั้นก ลางมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


เศรษฐกิจยุคหลัง พล.อ.เปรม แต่ก่อนทักษิณมีอำนาจ
...พล.อ. ชาติชาย อยากให้ป๋าอยู่ต่อ แต่ป๋า บอกพอแล้ว
...พล.อ.ชาติชาย เข้ามา เศรษฐกิจก็ดีขึ้น เพราะท่านพล.อ.เปรม ทำไว้ดี
...พล.อ.ชาติชาย ชอบทุนนิยมแบบธรรมาภิบาล คือแข่งขันแบบเสรี ห้ามผูกขาด ห้ามค้ากำไรเกินควรเอาเปรียบผู้ บริโภค
...ห้ามต่างชาติเข้ามาถือหุ้นเกิน 25%
...แต่ถูกยึด อำนาจโดย รสช.!!!!!
ต่อมา....
...ทักษิณก็เข้าไปหากิน กับรสช. ได้สัมปทานเพิ่ม จนรวยอื้อซ่า!!!
...ผูกขาดสัมปทาน ค่าโทรศัพท์แพง (ทั่วเอเชียเขาถูกกันหมดแล้ว)
...ชวลิตประกาศลอยค่าเงินบาท ทักษิณได้ผลประโยชน์หลายหมื่นล้าน แต่ประเทศพังพินาศ
...ชวลิต้ IMF ต่อมา ปชป. (ชวน2)เข้ามาแก้ไข
...แต่ก็ไม่ค่อยสนใจความเป็นอ ยู่ของประชาชน เท่าที่ควร ทั้ง ปชป.และพรรคร่วม
...(เป็นเหตุให้ต้องเลือกทักษิณ เพราะคนเชื่อว่าทักษิณจะทำให้ค นจนหมดไป ตามที่พูด !!!)


เศรษฐกิจยุคทักษิณเรืองอำนา
...ทันทีที่เข้ามา ก็ขาย ปตท. ให้กลุ่มทุนของตัวเอง น้ำมันขึ้นทันทีลิตรละ 10-15 บาท ในเวลาอันรวดเร็ว
...เป็นเหตุให้ กฟผ. ปรับค่าไฟ(ค่าFT) เพราะ50%ต้องใช้ก๊าชธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า
...ค่าไฟมโหฬาร เปิดแอร์นอนทั้งคืนต้องคิดหนัก
...ขายสมบัติชาติ อื่นๆอีกเช่น การบินไทย สนามบิน ไปรษณีย์ องค์การโทรศัพท์ ฯลฯ ทำให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ
...สินค้าอปโภคบริโภคราคาสูงเว่อร์! เพราะต่างอ้างค่าขนส่ง(น้ำมัน) ที่เพิ่มขึ้น
...ภาคใต้แห่ไปเติมน้ำมันที่มาเล เซีย สุดถูกทั้งที่ไม่มีบ่อน้ำมั
...ผูกขาดกิจการโทรคมนาคม ขาดคู่แข่ง ค่าโทรศัพท์สุดแพง
...ค่าโทรศัพท์นาทีละ 5-8บาท ทั่วเอเชียเขาถูกกันหมดแล้ว
...ขายดาวเทียมให้ต่างชาติ จนเป็นภัยต่อความมั่นคง
...ผ่อนรถ 6 ปี ยังไม่หมดเลย สงสารเด็กจบใหม่ สมัยนี้จังเลย
...ดอกเบี้ยสุดแพง โอ้โห!!ผ่อนบ้าน 30 ปี ชั่วลูกชั่วหลานก็ยังไม่หมดเลย
...หนี้บัตรเครดิตทั้งในและนอก ระบบตรึม
...ค่าครองชีพสูงมาก แต่ค่าแรงเท่าเดิม (170-250) เงินออมแทบไม่เหลือ
...ปชช.ถูกมอมเมาด้วยหวยบนดินและ ความฟุ้งเฟ้อ
...คนชั้นกลางยากจนลง ขณะที่นายทุนและนักการเมืองรวยอื้อซ่า
...ทำอ้างตลาดหุ้นโต ,GDP โต นายทุนรวย แต่ปชช. ตาย เพราะไม่มีหุ้นอยู่เลย
...คนชั้นรากหญ้ายิ่งจนหนัก จนไม่มีโอกาสโตเป็นคนชั้นกลางได้ แน่นอน
...แก้กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ
...ให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 49% อีกครึ่งเป็นนอมินี
...หั่นราคาสินทรัพย์เหลือ 25% แล้วตั้งบ.SC Asเปรต ไปยึดทรัพย์จากกรมบังคับคดี
...คอรัปชั่นแบบบูรณาการ
...ละเมิดรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจ ของพ่อหลวง
...สถาบันหลักของชาติถูกสั่นคลอน
...บ้านเมืองวุ่นวายมากที่สุดใน รอบ 240 ปี


เศรษฐกิจยุคคมช.
...ยกเลิก พรก. ผูกขาด(สรรพสามิต)ของทักษิณ และยึด ITV คืนมาให้ ปชช.
...ค่าโทรถูกลง นาทีละ 2 บาท
...ที่เหลือย่ำแย่ เพราะระบอบทักษิณได้กลืนกินไปหมดแล้ว


เศรษฐกิจยุคอภิสิทธิ์
...AIS มีคู่แข่งเพียบ ค่าโทรสุดถูกนาทีละ 1.25
...ที่เหลือย่ำแย่ อภิสิทธิ์คงทำอะไรไม่ได้มาก เพราะระบอบทักษิณได้กลืนกินไปหมดแล้ว


...พี่น้องเสื้อแดงครับ ที่ท่านเรียกป๋าเปรม ว่าอำมาตย์นั้นนะ ถึงท่านจะไม่นิยมเทคโนโลยีทันสมัย แบบทักษิณ ไม่มีไอทีวีไว้โฆษณาเอไอเอสของ ตน ท่านบริหารประเทศแบบเผด็จการใช่ ไหมพี่น้อง ดูเผด็จการที่ท่านทำสิ!!!
...สั่ง ธนาคารและสถาบันการเงินห้ามขึ้น ดอกเบี้ย ปชช.
...ห้ามเอกชนค้ากำไรเกินควร เอาเปรียบ ปชช.
...สั่งห้าม แปรรูป ปตท. กฟผ.
...สั่ง ห้ามข้าราชการไปรับสินบนนายทุน
...ปลด. รมต. บางคนที่คิดจะเอา การท่าเรือฯ ไปขายให้นายทุนพรรค
...สั่งข้าราชการ ทำงานด้วยความซื้อสัตย์ สุจริต



พี่น้องเสื้อแดงครับเราเกิดบน แผ่นดินนี้ เรามีสิทธิอันชอบธรรมที่จะใช้ทรัพยากรบนแผ่นดินนี้ โดยเสมอภาคกันใช่ไหมครับ น้ำมัน ก๊าชธรรมชาติ แท่นขุดเจาะน้ำมัน และท่อส่งแก๊ส ที่ฝังบนทางหลวงแผ่นดิน ก็เป็นสมบัติของชาติ เป็นภาษีของพวกเรา มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านนะครับ


พี่น้องเสื้อแดงคิดดูให้ดีนะครับ ทักษิณเอาสมบัติชาติ เช่น ปตท. ขายเข้าตลาดหุ้น. แล้วปันผลรวยเป็นเศรษฐีกันไม่ก ี่คน แต่พวกเราคนไทยกว่า 63 ล้านคนไม่มีหุ้นอยู่เลย แล้วอย่างนี้เรียกว่าประชาธิปไต ยหรือเปล่าครับ


พี่น้องเสื้อแดงครับ สมบัติชาติอื่นๆ เช่น ดาวเทียม สนามบิน กฟผ. ไปรษณีย์ องค์การโทรศัพท์ ฯลฯ เป็นเงินภาษีของพวกเรา เป็นสมบัติของชาติอย่างแท้จริง แต่เขามีหุ้นรวย ปันผลกันไม่กี่คน อย่างนี้เรียกประชาธิปไตยหรือเปล่า ครับ


พี่น้องครับ ไม่ว่าสีใดก็ตาม มาร่วมทวงคืนสมบัติชาติของพวกเราเถอะครับ ก่อนที่เราและลูกหลานเราจะไม่มีที่ซุกหัวนอน ก่อนที่กระทรวง ทบวง กรมฯ ที่พ่อหลวงของเราทุกพระองค์ทรง วิริยะอุตสาหะบุกเบิกมาให้ล ูกหลานใช้ จะกลายเป็นบริษัทจำกัดไปหมด แล้วเราจะอยู่กันอย่างไรครั


Thank you for @ความเลววันนี้
littletree_29@hotmail.com
copyจาก littletree_29@hotmail.com ส่งต่อให้เยอะๆ

Welcome

ธรรมสามัคคี

SocialTwist Tell-a-Friend

AddThis

Bookmark and Share

มิตรภาพไร้พรมแดน

สถิติผู้มาเยี่ยมเยือน

ผู้ติดตาม