วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"บทเรียนที่เจ็บปวดของผู้ใช้ Email‏"



สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ


15 มีนาคม 2551

พิชัย พ้นภัย (pponpai@gmail.com)

1131/288 ถนนเทอดดำริ แขวงถนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300

ก่อนอื่นก็ต้องขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อ พิชัย พ้นภัย ปัจจุบันเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยเกริก อดีตเป็นทนายความและที่ปรึกษากฎหมายของสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศ Tilleke and Gibbins กรุงเทพฯ

ความนำ

การ เป็นเจ้าของ Email account สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้กับเจ้าของ account อย่างมหาศาล ในขณะเดียวกัน หากมีการนำไปใช้อย่างไม่ถูกวิธี ก็จะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของ account ได้อย่างมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายทางด ้านสุขภาพจิต สังคมหรือเศรษฐกิจ และจะเป็นการเสียหายมากกว่านั้นอีกหลายเท่า หากมีผู้ลักลอบนำ email account ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมกับทำการเปลี่ยนแปลง password ของเจ้าของที่แท้จริง แล้วนำไปทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย หลอกลวงเพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง และผู้ที่เจ้าของ account ติดต่อด้วย โดยที่เจ้าของ email account ที่แท้จริงหมดโอกาสที่จะบอกให้คนเหล่านั้นได้รู้อย่างทันท่วงทีว่า ความจริงเป็นการหลอกลวงของโจร internet ภายใต้ชื่อและemail account ของเจ้าของที่แท้จริงเอง เมื่อถูกกระทำแล้วเจ้าของ account จะเป็นทุกข์กังวลเพียงใด เมื่อคนที่เรารักและติดต่อด้วยต้องเสียรู้เสียเงินไปให้โจร อันมีสาเหตุมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเราเองเป็นจุดเริ่มต้น

ขอให้บทเรียนที่ผมได้รับนี้ เป็นสิ่งเตือนใจของท่านเจ้าของ email account ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกได้รับรู้กลลวง เพื่อเก็บไว้เป็นเกราะป้องกันตนเองจากโจรทาง internet

ผมขอลำดับเหตุการณ์ให้ทราบดังนี้

1. การใช้ email ในชีวิตประจำวัน

ผมเป็นเจ้าของ Email Account ของ Hotmail ใช้ account นี้มาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี ใน account จะเก็บ email address ของเพื่อนฝูงที่สนิทกัน ญาติพี่น้องและของบุคคลที่ต้องติดต่อด้วยรวมแล้วประมาณ 130 คน ปกติ ผมจะทำการตรวจเช็ค email inbox ทุกครั้งที่ได้ใช้ computer อย่างน้อยต้องตรวจเช็ค email วันละครั้ง เว้นแต่จะไม่มี computer ให้ใช้เท่านั้น

การใช้ email ของผมนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ต้องทำ ระยะเวลากว่า 10 ปีที่ใช้ ไม่เคยมีปัญหาอะไรที่มาถึงตัว หรือที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรงโดยตรง มีเพียงแค่เจอ virus เล่นงานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นับแต่ใช้ internet และ computer มา ผลที่เกิดขึ้นอย่างมากก็เพียง format เครื่อง แล้วลง program ใหม่เท่านั้น ปัจจุบันก็มี program ป้องกัน virus ให้ใช้จำนวนมาก และไม่น่ากังวลอะไร

2. ความเป็นมาของเหตุการณ์

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2551 ผมได้เปิดเข้าไปตรวจเช็ค email ตามปกติและได้พบ email ฉบับหนึ่งระบุว่าผู้ส่งคือ Customer_serviceupgrade1@hotmail.com ด้วยความสงสัยและอยากรู้ ผมจึงเปิดออกดูว่าจะมีอะไรใหม่ๆ ให้ upgrade หรือไม่ เมื่อเปิดขึ้นมาแล้ว พบว่าemail มีลักษณะดูเหมือนกับเจ้าหน้าที่บริการของ Hotmail ส่งมาให้สมาชิก หน้าของ email ไม่ทำให้สงสัยหรือเห็นเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากเป็น email ที่ส่งมาจาก

Hotmail จริงๆ (ดูmail ที่ส่งมาเอกสารแนบ 1) ข้อความใน email แจ้งว่า Hotmail จะทำการ upgrade program ของการใช้ email ใหม่ของสมาชิก ขอให้สมาชิกยืนยันวันเดือนปี เกิด และแจ้ง password การเข้าใช้ email account ให้ทราบภายใน 3 วัน มิเช่นนั้นแล้วaccount นี้ จะถูกลบออกอย่างถาวร และจะไม่สามารถใช้ได้อีกตลอดไป

เมื่ออ่านพบเช่นนั้น ทำให้ผมรู้สึกกังวลว่า หากไม่ทำตาม email ที่แจ้งเตือนมานี้ email address ทั้งหมดที่มีอยู่จะหายไป ไม่สามารถติดต่อใครได้อีกเนื่องจากemail account และ address ดังกล่าวใช้มานานมากกว่า 10 ปี ทุกคนรู้จักและติดต่อผมโดยผ่าน email account นี้มานานแล้ว กรณีเช่นนี้จึงคล้ายกับการทำโทรศัพท์มือถือหาย ทำให้วุ่นวายติดต่อใครไม่ได้หากจำเบอร์ไม่ได้ การถูกยกเลิก email account จึ่งเป็นเรื่องใหญ่หากต้องถูกลบออกไปอย่างถาวร

ดังนั้นโดยไม่รอช้าผมจึงกรอกข้อมูลตามที่ email นั้นแจ้งมา และส่งกลับไปให้ทันที ประมาณ 1 ชั่วโมงผ่านไป ผมเกิดระแวงสงสัย จึงกลับไปตรวจเช็ค email อีกครั้ง ปรากฏว่าใจแทบสลาย เพราะผมไม่สามารถใช้รหัสผ่านของผมเข้า email account ของผมได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะใช้ความพยายามเท่าไหร่ก็ตาม ถึงตรงนี้ผมเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดผลร้ายแรงอะไรขึ้นกับผมและคนอื่นในอนาคตบ้าง ในใจเพียงคิดว่าไม่เป็นไร สมัครเอา account ใหม่ก็ได้

แต่หลังจากนั้นไม่เกิน 2 ชั่วโมงผมก็ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากเพื่อนชาวต่างประเทศที่ี่อยู่ภูเก็ต โทรมาสอบถามว่า ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน อยู่ที่กรุงเทพฯ หรือแอฟริกา เพราะเขาได้รับ email จากผมแจ้งว่า ขณะนี้ผมอยู่แอฟริกามาประชุมสัมมนาเรื่อง HIV และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาในแอฟริกา ผมประสบปัญหาขณะที่นั่งรถแท็กซี่กลับโรงแรม ได้ลืมกระเป๋าเอกสารที่มีเงินทั้งหมด และไม่สามารถติดตามคืนได้ ผมเป็นหนี้ค่าโรงแรม เจ้าหน้าที่โรงแรมยึดของไว้หมด และไม่ให้ออกจากโรงแรม ผมกำลังเดือดร้อนอย่างมาก ขอให้ส่งเงินไปให้ด้วย กลับบ้านแล้วจะคืนให้

เมื่อได้รับโทรศัพท์ดังนี้ ผมจึงรีบบอกไปว่าเป็น email หลอก email account ของผมถูกเปลี่ยน password ผมไม่สามารถเข้าใช้ได้อีก อย่าได้ส่งเงินไปเด็ดขาด (โปรดดูรายละเอียดของ email หลอก เอกสารแนบ 2)

3. ความเป็นห่วงเป็นใยและความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น

ความเป็นห่วงเป็นใยและความเจ็บปวดประการแรก เป็นของตัวเองต่อเพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง และผู้ที่ติดต่อด้วย นับแต่รู้ว่า email account ถูกโจรกรรมไปแล้ว ผมไม่สามารถควบคุมการใช้ email ของผมได้ email ที่โจรส่งออกไปก็จะปรากฏเป็นตัวของผมภายใต้ชื่อของผมทั้งหมด ผู้ที่รับ email ย่อมต้องเข้าใจว่าผมตกอยู่ในภาวะลำบากเช่นนั้นจริง ผมคิดกังวลอย่างมากว่าอาจมีเพื่อนรักที่สนิทกันที่ตกใจและไม่ทันคิดอะไร ต้องหลวมตัวส่งเงินไปให้โจรอย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจึงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว ดังนั้นผมจึงพยายามนึกถึง email address ของเพื่อนๆ เท่าที่สามารถนึกออก พร้อมกับสมัครใช้ email account ใหม่ และรีบแจ้งเตือนไปให้ทราบว่า ขณะนี้มีโจรเข้ามาโจรกรรมเอา email account ของผมไปใช้ และผมไม่ได้ใช้ email นี้อีกต่อไปแล้ว คนที่ใช้อยู่ไม่ใช่ผม ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะสกัดกั้นไม่ให้ผู้ที่ได้รับ email หลอกนี้ส่งเงินไป วิธีที่ดีที่สุดคือพยายามยกเลิก email account นี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

ในช่วงนี้ผมต้องหยุดทำงานทั้งหมด และต้องแก้ไขเหตุการณ์แข่งกับเวลา เพราะโจรรายนี้ทำงานเร็วมาก นอกจากนี้ ผมได้ใช้ email เพื่อหลอกให้มันส่งรายละเอียดของการส่งเงินว่าจะส่งไปที่ใด ซึ่งมันก็เชื่อโดยส่งรายละเอ ียดมาให้ทราบ โดยระบุชื่อผู้รับเงินว่า Mr. George Pent พักอยู่ที่โรงแรม Ekko ห้อง 6 เมือง Lagos ประเทศ Nigeria จำนวนเงินที่โจรขอให้ส่งไปคือ1,350 USD หรือ 1,500 USD แตกต่างกัน แต่จะเป็นตัวเลขเศษๆ ดูแล้วน่าเชื่อถือ คำนวณเป็นเงินไทยก็อย่างน้อย 30,000 บาท ขึ้นไปซึ่งไม่น้อยทีเดียว รายละเอียดปรากฏตาม email ที่ติดต่อกับโจรรายนี้ (เอกสารแนบ 3)

ผมขอบอกว่าสภาพจิตใจของผมช่วงดังกล่าวแย่มากที่สุด เต็มไปด้วยความกังวลและเป็นห่วงว่าจะมีเพื่อนคนใดส่งเงินไปให้โจร และคนที่ส่งเงินไปให้ต้องเจ็บใจเสียใจในภายหลังเมื่อทราบความจริง

4. ความกังวลของตนเองต่อความยุ่งยากในอนาคตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากที่ผมจำต้องทำงานแข่งกับเวลากับโจร เพื่อแจ้งให้ทุกคนที่รับ email หลอก (hoax email) นี้รู้ตัว ผมก็คิดกังวลเลยไปไกลในอนาคตว่า หากผมไม่สามารถยกเลิก email account นี้ของผมได้ โจรรายนี้จะต้องใช้ชื่อผมไปก่อให้เกิดความเสียหายกับผมต่อไปในอนาคตโดยไม่มีที่สิ้นสุด ผมคงต้องมาแก้ตัวและป้องกันตัวเองว่า email ดังกล่าวไม่ใช่ของผม ผมไม่ได้หลอกผู้ใดหรือติดต่อกับผู้ใดในการใช้ email account นี้แล้ว ถึงตอนนั้นความเสียหายคงเกิดขึ้นกับผมอย่างมากและเป็นสิ่งกวนใจทำให้สุขภาพจิตเสื่อมไปตลอดกาล จนกว่าโจรหรือผมจะตายจากโลกนี้ไป

5. ความเป็นห่วงเป็นใยและความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นกับเพื่อนสนิท ญาติพี่น้องและผู้ที่ติดต่อด้วย

ความเป็นห่วงเป็นใยประการที่สองนี้ เป็นความทุกข์ที่จะเกิดกับคนที่เรารักและติดต่อด้วย ความตกใจและการช่วยเหลือของแต่ละคนเมื่อได้รับ email หลอก จะมีระดับและวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนต่างเชื่ออย่างสนิทใจว่า ผมคงตกอยู่ในภาวะที่ลำบากในแอฟริกาจำเป็นต้องช่วยเหลืออย่างรีบด่วน

เริ่มจากเพื่อนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา เป็นเพื่อนที่สนิทและรู้จักกันมานานนับสิบปี พอได้รับ email หลอกนี้ ก็รีบตอบ email สอบถามรายละเอียดต่างๆ เพื่อหาวิธีช่วยเหลือ เมื่อโจรได้รับ email ตอบจากเพื่อน มันก็รีบตอบกลับและแสดงตัวเป ็นผมทันที โดยที่เพื่อนอ่าน email แล้วไม่ได้สังหรณ์ใจอะไรเลย รายละเอียดปรากฏตาม email ของโจร (เอกสารแนบ 4)

ในวันนั้นเพื่อนคนนี้ต้องลาหยุดงาน เพื่อจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนกระทั่งสามารถส่งเงินไปให้โจรตามที่มันแจ้งให้ทราบ หลังจากส่งเงินไปแล้วหนึ่งชั่วโมง ภรรยาเกิดสังหรณ์ใจบางอย่างและนึกขึ้นได้ว่าต้องโทรทางไกลมาสอบถามผมที่บ้านที่กรุงเทพฯ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตี 5 กว่า ผมก็รับโทรศัพท์พร้อมกับเสียงของเพื่อน ที่แสดงความตกใจเล่าเรื่องให้ผมฟัง ผมบอกเขาว่าผมสบายดีอยู่ที่เมืองไทย ไม่ได้ไปแอฟริกาแต่อย่างใด เมื่อทราบดังนั้น เพื่อนจึงรีบไปอายัดเงินโอนทันที ผลปรากฏว่าเงินไปอยู่ที่ปลายทางแล้ว แต่โจรยังไม่มารับไป เพราะว่า email ที่เพื่อนแจ้งการส่งเงินไป มีเอกสารแนบ เกิดขัดข้อง email จึงยังไปไม่ถึงโจร ทำให้มันไม่ทราบว่ามีเงินโอนไปแล้ว เพื่อนของผมจึงอายัดเงินได้ทัน ไม่สูญเงิน 1,350 USD แต่ถูกหักค่าธรรมเนียมไปไม่มากนัก

เพื่อนได้แจ้งให้ผมทราบในภายหลังว่า เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เขาเสียสุขภาพจิตไปมาก และโทษตัวเองว่าโง่ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาก็สังหรณ์ใจอยู่ แต่เหตุการณ์คับขันเช่นนี้คงปล่อยให้เพื่อนลำบากไม่ได้ ถึงแม้จะมีความรู้สึกว่าเป็นการหลอก แต่ก็ยอมจะเสี่ยงส่งไปให้ก่อน แม้จะเสียเงินไปก็ไม่เป็นไร

รายที่สอง อยู่อเมริกาเช่นกัน เมื่อได้รับ email หลอกก็ตกใจ รีบตอบ email กลับไปหาโจร สอบถามรายละเอียดความตกทุกข์ได้ยากของผม และว่าจะส่งเงินไปให้ แต่ขณะที่เขียน email เพื่อตอบโจรไป เขาก็ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวผมจริงหรือไม่ เพราะผมไม่น่าจะใช้วิธีเช่นนี้เพื่อขอความช่วยเหลือ จึงทำการทดสอบให้ตอบคำถามส่วนตัวของผมว่า หัวหน้าสำนักงานที่ผมทำงานอยู่ ชื่ออะไร ปรากฏว่าไม่มีคำตอบจากโจรรายนี้อีกเลย เพื่อนคนนี้จึงรู้ว่าไม่ใช่ตัวผมแน่นอน เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เขาประสาทเสียและเสียเวลาทำงานไปมาก

รายที่สาม อยู่อเมริกาเช่นกัน เมื่อได้รับ email หลอก ก็ตกใจเตรียมจะส่งเงินไปให้อีก แต่กลับคิดได้ว่า email ที่ส่งมา ทำไมขึ้นต้นด้วย Dear All, ทำไมไม่ระบุชื่อเหมือนที่เคยเขียนมา ทำให้เขาเกิดอาการไม่แน่ใจ จึงโทรทางไกลไปถามเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่เมืองไทยว่าผมไปแอฟริกาหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตี 2 ของเมืองไทย จึงได้ทราบความจริงว่าถูกหลอก และทำให้เขาสงสัยว่าโจรทำได้อย่างไร เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เขาเกิดอาการตกใจมากเหมือนกันและแน่นนอนว่าเป็นการทำลายสุขภาพจิตใจของเขาอย่างมาก

รายที่สี่ อยู่กรุงเทพฯ เมื่อได้รับ email หลอกแล้ว คนทั้งครอบครัวต่างตกใจอลหม่านกันไปทั้งบ้านเตรียมจัดส่งเงินไปให้ โดยให้ลูกทำการติดต่อกับโจรและขอทราบรายละเอียดการส่งเงินจนได้ข้อมูลเรียบร้อยพร้อมที่จะส่งเงิน เผอิญลูกคนที่จะไปส่งเงินอยู่ต่างจังหวัดยังไม่กลับบ้าน เงินที่จะโอนไปจึงยังไม่ได้โอน ในระหว่างนี้เพื่อนคนนี้นึกขึ้นได้ว่าต้องตรวจสอบเบื้องต้นก่อน โดยได้โทรศัพท์มาที่บ้านของผมประมาณเที่ยงคืนกว่า ปรากฏว่าโทรศัพท์มือถือของผมติด ใช้ได้ตามปกติ แต่ผมไม่ได้รับสาย ซึ่งทำให้สันนิษฐานว่า ถ้าหากผมลำบากจริงต้องโทรมาหาแล้วโดยไม่ต้องใช้email เพื่อนจึงบอกให้ลูกงดการส่งเงินไปก่อน รุ่งขึ้นผมก็รีบโทรบอกเพื่อนว่าเป็น email หลอกลวง เพื่อนจึงได้ทราบความจริง เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้ครอบครัวนี้วุ่นวายกันไปเกือบสองวันทั้งแม่ทั้งลูก

รายที่ห้า อยู่กรุงเทพฯ เมื่อได้รับ email หลอกลวงแล้ว ก็มีอาการตกใจเช่นกัน แต่วิธีการช่วยเหลือของเขาไม่ใช่วิธีการส่งเงินตามที่ร้องขอมา เพราะคิดว่าการส่งเงินไปให้เพียงเท่านี้ก็ยังกลับเมืองไทยไม่ได้อยู่ดี วิธีที่ดีที่สุดคือแจ้งเครือข่ายที่อยู่ในไนจีเรีย ให้ไปช่วยเหลือโดยตรงเลย เมื่อเครือข่ายได้รับแจ้ง สิ่งแรกที่เครือข่ายตรวจสอบคือ ผมได้เดินทางเข้ามาใน ไนจีเรียจริงหรือไม่ ปรากฏว่าตรวจสอบแล้วไม่มี เพื่อนจึงรู้ว่าเป็นการหลอกลวงแน่นอน จึงหยุดทำการช่วยเหลือลง แต่ก็ทำให้เสียเวลาทำงานไปมากและวุ่นว่ายกับคนอื่นที่อยู่ต่างประเทศ

รายที่หก อยู่กรุงเทพฯ เมื่อได้รับ email หลอกลวงแล้ว ก็ตกใจเช่นกัน เตรียมที่จะรวบรวมเงินส่งไปให้ แต่ในระหว่างนี้ก็เขียน email แนะนำวิธีการต่างๆ ในการที่จะเอาตัวรอดที่ ไนจีเรียขณะที่เขียน email ไปหา ก็บ่นกับตัวเองว่า ผมทำไมคิดอะไรไม่ออกเลยหรือ ไม่น่าจะใช้วิธีขอให้โอนเง ินไปให้ ไม่ได้เป็นสมาชิกบัตรเครดิตใดๆ เลยหรือ หากบัตรหายก็ขอออกใหม่ได้ที่ไนจีเรียและว่าผมช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยทั้งๆ ที่เป็นนักกฎหมายระดับนี้ แต่โชคดีของเพื่อนคนนี้ ในที่สุดผมนึกชื่อได้ จึงได้โทรไปแจ้งเหตุการณ์ให้ทราบว่า email account ของผมถูกโจรไนจีเรียขโมยไปใช้หลอกลวงคนอื่นๆ

6. ต้องเอาชนะและสู้กับโจรอย่างถึงที่สุด

หลังจากที่โจรขโมยเอา email account ของผมไป ผมคิดอยู่เสมอว่า ต้องยกเลิกการใช้ email account นี้ให้ได้ หรือไม่ก็ต้องเอากลับคืนมาให้ได้ ดังนั้นผมจึงได้ส่ง email รายงานให้ตำรวจในประเทศไทยที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันภัยทาง internet ให้ทราบและขอความช่วยเหลือ แต่โชคไม่ดี ผมไม่ได้รับคำตอบใดๆจากตำรวจเลย

อีกทางหนึ่งผมได้ติดต่อผู้ให้บริการทาง internet (ISP) ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ เพราะเป็นของ Hotmail ซึ่งอยู่ต่างประเทศ ในที่สุดความพยายามของผมที่จะพึ่งคนอื่นก็สิ้นสุดลงในภาวะเช่นนี้ผมหมดความหวังกับการช่วยเหลือในเมืองไทย แล้ว สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะนึกออกคือส่ง email ไปที่บริษัทให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศคือ Money Gram และ Western Union แจ้งเหตุการณ์ให้ทราบ แต่ก็ได้เพียงคำตอบกลับมาว่าจะตรวจสอบให้และก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้

ผมยังไม่หมดความพยายาม จึงได้ขอให้ผู้ที่มีความรู้ทาง Internet ให้มาช่วยเหลือยกเลิกการใช้ email account ของผมก็ได้รับคำตอบว่า ทำไม่ได้เพราะHotmail อยู่ต่างประเทศ ไม่รู้จะติดต่ออย่างไร และบอกว่าไม่ต้องสนใจ email account นี้อีกต่อไป ให้ทำใจและทิ้งไปเลย ผมฟังแล้วก็ห่อเหี่ยวหมดหวังจากคนอื่นที่จะช่วยเหลือผม

7. วิธีแก้ไข เอาชนะโจรอย่างเด็ดขาดทั้งเฉพาะหน้าและในอนาคต

เมื่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่ได้แล้ว ผมคิดอยู่เสมอว่าจะต้องมีทางแก้ไขให้ได้ วิธีการที่ดีที่สุด คือสืบค้นหาเจ้าหน้าที่ของ Hotmail สืบค้นหาหน่วยงานที่เกี่ยวข ้องเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยค่อยๆ อ่าน Website ของ Hotmail อย่างละเอียด ว่าจะมีวิธีการช่วยเหลืออย่างไร ซึ่งกว่าจะหาพบก็กินเวลาไปเกือบสองวัน จึงทราบว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหานี้คือ Windows Live ID Technical Support ผมจึงได้เขียน email เล่ารายละเอียดของผมให้ทราบ เจ้าหน้าที่ Hotmail รับรู้เรื่องของผม และได้ขอให้ผมตอบคำถามของเขา 16 ข้อ เพื่อตรวจสอบว่า ผมเป็นเจ้าของ account ที่แท้จริงโดยให้ตอบคำถามส่วนตัวและรายละเอียดข้อความเท่าที่ทราบใน email เก่าๆ รวมถึงemail address เก่าๆ เท่าที่จำได้ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ของHotmail ได้ตรวจสอบแล้วเชื่อว่าผมเป็นเจ้าของ account ที่แท้จริง จึงเริ่มดำเนินการแก้ไขเพื่อให้เข้าไปตั้ง password ใหม่ ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า "Removed Tag" โดยเจ้าหน้าที่จะแจ้งขั้นตอนและวิธีการมาให้ทราบ แล้วทำตามคำแนะนำตามลำดับ เหมือนสวรรค์มาโปรด ขณะที่เครื่องกำลังทำงาน

เพื่อตั้ง password ใหม่ ผมก็ภาวนาให้แก้ไขได้สำเร็จ ในที่สุดชัยชนะก็เป็นของผม ผมสามารถเปลี่ยน password ของโจรออกไป แล้วตั้ง password ของผมใหม่ ทำให้โจรไม่สามารถกลับเข้ามาใช้ email account ของผม เพื่อหลอกคนอื่นได้อีกต่อไป

8. จำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของ email หลอกลวงในประเทศไทยและต่างประเทศกับการระบาดไปทั่วโลก

จากการตรวจสอบพฤติกรรมเช่นนี้ทาง Website ต่างๆ ของไทย ผมพบว่านอกจากผมที่ถูกขโมย email ไปแล้ว ยังมีผู้อื่นที่ถูกกระทำเช่นนี้ และเพื่อนๆของเจ้าของ account ต่างถูกหลอกและส่งเงินไปให้เป็นจำนวนมาก บางคนสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนแสนบาท บางคนทิ้ง email ที่ถูกขโมยไปนานเป็นปีแล้ว แต่กลับต้องถูกทวงหนี้จากคนที่ไม่เคยรู้จัก โดยอ้างว่าได้มีการทำธุรกรรมค้าขายกันกับเขาและยังไม่ได้ชำระหนี้ จึงแจ้งมาเพื่อขอให้ชำระด้วย ซึ่งเจ้าตัวกลับไม่ทราบเรื่องใดๆ เลย จนปัจจุบันก็ยังไม่อาจยกเลิก email account ของตนได้ ทำให้โจรสนุกกับการใช้ email หลอกลวงภายใต้ชื่อของเจ้าของที่แท้จริงโดยไม่มีที่สิ้นสุด ในภาวะและความรู้สึกของเจ้าของ email account นี้ นับว่าเป็นการสร้างตราบาปให้ติดตัวเองตลอดไป จนกว่าจะยกเลิกหรือเอา email account ของตนกลับคืนมาได้ และมีหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อโดยท ี่ยังไมรู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรจนทุกวันนี้

สำหรับต่างประเทศ ใน Website ของ Australia Interpol ประชาชนสูญเสยเงินจากการถูกหลอกลวงในลักษณะนี้ รวมกันทั้งประเทศแล้วนับพันล้านเหรียญ

เหตุการณ์ครั้งนี้บอกตรงๆ ว่าผมเครียดมาก ช่วงที่กำลังต่อสู้กับโจร โจรที่ไม่เห็นตัว และไม่สามารถทำอะไรมันได้ และหาใครช่วยก็ไม่ได้ แม้แต่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเอง ดังนั้นผมจึงอยากให้กรณีของผมเป็นกรณีสุดท้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมทั้งในโลกของ Internet และขอแจ้งให้สาธารณชนคนไทยได้ทราบเพื่อป้องกันการหลอกลวงต้มตุ๋นที่เกิดขึ้น ซึ่งกำลังระบาดอย่างหนัก โดยที่สังคมไทยยังไม่ค่อยรู้หรือตื่นตัวมากนัก และเมื่อเกิดปัญหาแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขได้

จากประสบการณ์การต่อสู้กับโจร IT จนสามารถเอาชนะได้ในครั้งนี้ ผมจึงยอมอุทิศเวลาของผมเพื่อสร้างเครื่องเตือนใจคนไทยและคนทั้งโลก โดยเปิดเผยวิธีการหลอกลวงของโจรให้ทราบทั่วกันอย่างละเอียด

9. บทสรุปของบทเรียนราคาแพง ถึงผู้ที่เป็นเจ้าของ email account ในการป้องกันภัยการถูกขโมยpassword คือ

1. อย่าให้ email password กับผู้ใดเด็ดขาด โดยเฉพาะทาง email แม้ถูกขู่ว่าaccount จะถูกปิดก็ตาม เพราะปกติผู้ให้บริการจะไม่ทำเช่นนั้น

2. Email password เป็นสิ่งที่สำคัญต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี เหมือนกับการเก็บรักษาเลขรหัส ATM

3. ควร print หรือเก็บ Email address ของผู้ที่เราติดต่อไว้ต่างหาก เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินก็ยังสามารถติดต่อกับผู้อื่น ได้ ถึงแม้จะไม่สามารถเข้าใช้ email ของตนเองได้ก็ตาม

4. หากมีปัญหาใดๆ ในการใช้ email ของ Hotmail หน่วยงาน Windows Live ID Technical Support สามารถช่วยท่านได้ โดยให้ผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษช่วยเขียนแจ้ง หน่วยงานดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะแก้ไขปัญหาให้เราเป็นรายบุคคลและจะตอบกลับมาทันทีภายในหนึ่งวันทำงาน

5. การสมัครเป็นสมาชิกของ email หากทำได้และสะดวก ให้ใช้ของผู้ให้บริการinternet (ISP) ในประเทศ เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น จะสามารถติดต่อยับยั้งยกเลิกหร ือแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว โดยอาจโทรศัพท์แจ้งผู้ให้บริการ internet ทราบทันที

6.การมี Email account สำรองที่เป็นการให้บริการของผู้ให้บริการอื่นที่มีcontact list เหมือนกัน ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่บรรเทาความเสียหายเบื้องต้นได้

หวังว่าบทเรียนราคาแพงนี้จะเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนที่เป็นเจ้าของ email account ทุกคน โดยเฉพาะ email account free ทั้งหลาย เรื่องนี้ถ้าไม่เกิดกับตนเองก็จะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้ว เหมือนตกนรกทั้งเป็นและเหี่ยวเฉาไปทีละน้อย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่และซ้ำเติม

ขอบคุณข้อมูลจากกัลยาณมิตร

Mr. Dinhin Rakpong-Asoke
99 / 293 M.10, Bangkok Boulevard Village [ Ratchada - Ramindra ]
Kanjanaphisek Rd. 10/1 , Khanna-Yao district,
Khanna-Yao, Bangkok - 10230
THAILAND

โทรบ้าน : 02-3477375
มือถือ : 086-9001177
แฟกซ์ : 02-3790131
E-Mail :
dinhin2503@gmail.com

ดูผลงานที่นี่.http://www.flickr.com/photos/46401501@N00/

และhttp://wallpaper.thaiware.com/wallpapers_view.php?album_id=7017&showall=1


"นิทานพัฒนภัย..การล่มสลายของอาณาจักรสุวรรณภูมิ"



สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ


นานมาแล้วเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อน อาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นดินแดนแสนสงบสุข ภูมิประเทศงดงามดังสรวงสวรรค์ เทือกเขาด้านทิศเหนือเป็นต้นกำเนิดของลำนํ้าหลายสายไหลลงมาบรรจบกันเป็นลำนํ้าใหญ่ชื่อว่า แม่นํ้ามรกต แล้วไหลผ่านทะเลสาบนาคินทร์ลงสู่ทะเลหลวงทางทิศใต้ของอาณาจักรสุวรรณภูมิพื้นที่ส่วนมากทางทิศเหนือและทิศตะวันตกของอาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นป่า่ไมเ้บญจพรรณ มีประชากรอาศัยอยู่เพียงประปราย ส่วนใหญ่รักสงบ ดำรงชีวิตเรียบง่าย เลี้ยงชีพด้วยการหาอาหารป่ามากกว่าการเพาะปลูกพื้นที่ทางทิศตะวันออกเป็นป่าละเมาะ มีประชากรพอปานกลาง เลี้ยงชีพด้วยการเพาะปลูกและปศุสัตว์ส่วนพื้นที่ทางทิศใต้เป็นป่าพรุ อุดมด้วยสัตว์นํ้านานาชนิด มีประชากรค่อนข้างมาก เลี้ยงชีพด้วยการจับสัตว์นํ้าและเพาะปลูกพื้นที่ทิศใต้ตอนบน บริเวณติดกับทะเลสาบนาคินทร์ เป็นที่ตั้งของ โกสินทร์นคร มีพระราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรม นามว่า พญาโกสินทร์ ผู้ก่อตั้ง ราชวงศ์โกสินทร์ ปกครองอาณาจักรสุวรรณภูมิมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับพันปีต่อมาเมื่อราว 350 ปีที่แล้วนี่เอง ชาวยุโรปได้ออกล่าอาณานิคมมาถึงดินแดนแถบนี้ ทำให้ประชากรค่อยๆเกิดความตื่นตัวที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในโกสินทร์นครให้เจริญทันสมัยเยี่ยงชาวยุโรปขณะที่ประชากรชนบทในภูมิภาคต่าง ๆ ของอาณาจักรสุวรรณภูมิยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ค่อยได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เพราะการสื่อสารและการคมนาคมในสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้าอย่างปัจจุบันกระทั่งผ่านเวลาไปอีก 100 ปี หรือราว 250 ปีที่ผ่านมา ได้เกิด การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ช่วยให้การสื่อสารและการคมนาคมทั่วโลกดำเนินไปได้อย่างคล่องตัวและกว้างขวาง ความรู้สมัยใหม่แพร่สะพัดมาถึงสุวรรณภูมิอย่างรวดเร็ว ประชากรในโกสินทร์นครจึงรู้จักใช้เครื่องมือนานาชนิดในการอำนวยความสะดวกสบายแก่ชีวิตประจำวันมากขึ้นขณะที่ประชากรในชนบทก็เริ่มรู้จักใช้เครื่องมือสมัยใหม่ในการแปรรูปทรัพยากรนานาชนิดเพื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้มากยิ่งกว่าเดิม มี พ่อค้าคนกลาง นำสินค้าจากชนบทส่งผ่านทั้งโดยทางนํ้าและทางเกวียนเข้าสู่โกสินทร์นครมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนำเงินตราและสินค้าสมัยใหม่มากมายจากโกสินทร์นครกลับลงไปสู่ชนบทสินค้าสมัยใหม่ สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชาวชนบทได้อย่างต่อเนื่อง วิถีชีวิตของชาวชนบทเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มี เทียนไข ใช้แทนการ จุดไต้จุดคบ ต่อมาก็มี ตะเกียงนํ้ามัน ที่ให้แสงสว่างยาวนานกว่า เทียนไขและล่าสุดเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี่เอง แผ่นดินสุวรรณภูมิก็มี ไฟฟ้า ใช้อย่างทั่วถึงทุกภูมิภาคไฟฟ้า ช่วยให้ประชากรสุวรรณภูมิสามารถดำเนินกิจกรรมชีวิตได้อย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันกลางคืน เอื้ออำนวยแก่การเสพสนองกามารมณ์ในทุกรูปแบบอย่างไร้ขีดจำกัด ส่งผลประการหนึ่งให้ประชากรในอาณาจักรสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้น 5 เท่า ในเวลาที่ผ่านไปเพียง 250 ปี แต่มีความต้องการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นถึง 10 เท่าพื้นที่ป่า จึงถูกแผ้วถางอย่างมากมายมหาศาล เพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย เป็นพื้นที่เพาะปลูกเพื่อการแปรรูปเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค และแปรเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายสารพัด ที่นำไปสู่...การแข่งขันกันสนองความทะยานอยากอันไร้ขอบเขต ของประชากรสุวรรณภูมิภายใต้เงื่อนไขการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ดังที่กล่าว โลภะ และ ตัณหา ได้ทวีความรุนแรงและซับซ้อนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน อาชีพพ่อค้าแม่ขายพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ จาก คนรับจ้างนอนเฝ้าสินค้า ในเพิงพักบริเวณ จุดนัดพบเพื่อการแลกเปลี่ยน ใน ยุคจุดไต้จุดคบ พัฒนามาเป็น เจ้าของห้องแถวเรือนไม้ ใน ยุคเทียนไขเป็น เจ้าของตลาดสดขนาดใหญ่ ใน ยุคตะเกียงนํ้ามัน และเป็น เจ้าของศูนย์การค้ามหึมา ใน ยุคไฟฟ้า

เปลือกหอยสวยๆ ที่ถูกนำมาใช้เป็น สื่อกลาง อำนวยความสะดวกเพื่อการแลกเปลี่ยนสิ่งของอุปโภคบริโภคในยุคแรกเริ่ม ได้รับการพัฒนาควบคู่ไปกับศักยภาพในการแปรรูปสินค้า จนกลายมาเป็น ระบบเงินตรา ในยุคหลังและพุ่งทะยานขึ้นเป็น ตัวเลข ในจอตลาดหุ้น ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ อภิชฌา/อภิมหาโลภะ ในการ ล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติ อย่างมโหฬาร จนพลิกโฉมของ โกสินทร์นครสีเขียวครึ้ม ให้กลายเป็นมหานครสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ที่เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้า และตามมาด้วยปัญหานานัปการที่มิอาจพรรณนาได้หมดสิ้นฝูงปลานานาชนิด ที่เคยแหวกว่ายให้เพลินชมอยู่ในแม่นํ้ามรกตหายไปแทบไม่เหลือ สายนํ้าสีเขียวใสอ่อนๆกลายเป็นสีเทาขุ่นเข้มและมากด้วยขยะปฏิกูล ไม่สามารถดื่มกินได้อย่างสมัยก่อนชีวิตที่เคยสงบสุข ไม่รีบเร่ง มีเวลาชมดาวในคืนฟ้าเปิด กลายมาเป็นชีวิตที่ต้องจมปลักอยู่แค่ที่ทำงานหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลีกตัวไปกินอาหารอย่างเร่งรีบ แล้วกลับมาจ่อมจมอยู่กับที่นั่งเดิม จนกระทั่งมืดคํ่าเหนื่อยอ่อน ตะกายเข้าสู่ที่นอนอีกครั้งอย่างสิ้นแรง ราวกับเดินเท้าทางไกลมาตลอดวัน เพราะอิทธิพลของวิถีชีวิตที่แปลกแยกออกจากธรรมชาติเดิมแท้แทบหมดสิ้นและแล้ววาระสุดท้ายของอาณาจักรสุวรรณภูมิก็มาถึง เฉกเช่นชีวิตสัตว์โลกทั่วไป เมื่อมีเกิดก็ต้องมีแก่ และเจ็บป่วยล้มตาย ทว่าแรงกรรมที่สะสมไว้ในรอบนี้ ได้ส่งผลวิบากต่อประชากรสุวรรณภูมิอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ในประวัติศาสตร์ เพราะการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนพลเมืองที่นำไปสู่การบริโภคทรัพยากรอย่างมหาศาลจนเกินกำลังหมุนเวียนของธรรมชาติ ได้ก่อให้เกิด การทำลายสมดุลสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง ภัยแล้ง นํ้าท่วมแผ่นดินไหว จึงอุบัติถี่โถมและหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆแม้การแก้ไขปัญหาหลักทั้ง 3 ด้าน (การเมือง เศรษฐกิจ สังคม)ก็กระทำกันเพียงสร้างภาพฉาบฉวย พลังงานยังคงถูกใช้อย่างฟุ่มเฟือยฟุ่มเฟือยแม้ในนามของการแข่งขันกันรณรงค์ประหยัดพลังงานและยิ่งปลดปล่อยความร้อนสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งเกิด สภาวะโลกร้อน ภัยแล้งและนํ้าท่วมรุนแรงยิ่ง ๆ ขึ้นทุกปี ความชื้นในดินแปรปรวน ศัตรูพืชแพร่พันธุ์ขยายข้ามอาณาเขตอย่างรวดเร็วโรคระบาดทั้งเก่าและแปลกใหม่ลุกลามข้ามทวีป คนและสัตว์ล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง ทำให้อัตราการใช้พลังงานลดลงอย่างรวดเร็วตามจำนวนประชากรโลกที่ล้มหายตายไป อุณหภูมิโลกจึงลดลงเป็นปกติ นํ้าแข็งขั้วโลกยุติการหลอมละลาย ปัญหานานัปการอันสืบเนื่องจากสภาวะโลกร้อนค่อยคลี่คลาย และ อาการป่วยไข้ของโลกค่อยๆทุเลาลง พร้อมๆ กับผืนป่าเริ่มแผ่ปกคลุมซากอาณาจักรสุวรรณภูมิอีกครั้งจักรวาล กว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง โลก เป็นเพียงเศษธุลีของจักรวาลโลก กว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง มนุษย์ เป็นเพียงเศษธุลีของโลกแต่มี คนหลงผิด คิดจะยึดครองโลก และจัดการเปลี่ยนแปลงโลกตามที่ตนปรารถนาทว่าโลกนี้คือของศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าสัตว์โลกผู้มากด้วย โลภะ และ ตัณหา จะเข้าใจได้โดยง่ายผู้ที่พยายามจะยึดครองหรือเปลี่ยนแปลงโลกตามอำนาจทะยานอยากของตัณหาจึงต้องกลับกลายเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในท้ายที่สุดเพราะความที่ไม่เข้าใจว่า โลกสามารถรักษาสมดุลของมันได้เองและ คนมีหน้าที่เพียงปรับตัวให้เข้ากับสมดุลของโลก มิใช่การคิดยึดครองหรือเปลี่ยนแปลงโลก


วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บุญกฐิน



สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ


บุญบุญบุญ บุญนั้น ให้อุ่นจิต

บุญบุญบุญ คือชีวิต จิตแจ่มใส

บุญบุญบุญ คือความสุข ไม่ทุกข์ใจ

บุญบุญบุญ บุญกฐินไซร์ ให้รีบทำ

กฐินคืออะไร?

"กฐิน" ตามศัพท์แปลว่า ไม้สะดึง คือไม้แบบสำหรับขึงเพื่อตัดเย็บจีวรในทางพระวินัยใช้เป็นชื่อเรียกสังฆกรรมอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้า ทรงอนุญาตให้ภิกษุ

ผู้จำพรรษาแล้ว เพื่อแสดงออกซึ่งความสามัคคีของภิกษุที่ได้จำพรรษาร่วมกัน โดยให้เธอพร้อมใจกัน ยกมอบผ้าผืนหนึ่งที่เกิดขึ้นแก่สงฆ์ ให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในหมู่พวกเธอ ที่เป็นผู้มีคุณสมบัติสมควร แล้วภิกษุรูปนั้นนำผ้าที่ได้รับมอบไปทำจีวร

(จะทำเป็น อันตรวาสก หรืออุตราสงค์ หรือสังฆาฏิก็ได้และพวกเธอจะต้องช่วยภิกษุนั้นทำ) ครั้นทำเสร็จแล้ว ภิกษุรูปนั้นแจ้งให้ที่ประชุมสงฆ์ซึ่งได้มอบผ้าแก่เธอนั้นทราบเพื่ออนุโมทนา เมื่อสงฆ์คือที่ประชุมแห่งภิกษุเหล่านั้นอนุโมทนาแล้ว ก็ทำให้พวกเธอได้สิทธิพิเศษที่จะขยายเขตทำจีวรให้ยาวออกไป (เขตทำจีวรตามปกติ ถึงกลางเดือน ๑๒ ขยายออกไปถึงกลางเดือน ๔) ผ้าที่สงฆ์ยกมอบให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งนั้น เรียกว่า ผ้ากฐิน (กฐินทุสสะ) สงฆ์ผู้ประกอบกฐินกรรม ต้องมีจำนวนอย่างน้อย ๕ รูป ระยะเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ ประกอบกฐินกรรมได้ มีเพียง ๑ เดือน ต่อจากสิ้นสุดการจำพรรษา เรียกว่า เขตกฐิน คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ขึ้น ๑๕ เดือน ๑๒

ความเป็นมาของกฐิน

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เชตะวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ต่อมาเมื่อจวนจะถึงวันเข้าพรรษา ภิกษุชาวเมืองปาไฐยจำนวน ๓๐ รูป ล้วนเป็นพระธุดงค์ (ผู้ถือวัตรปฏิบัติกำจัดกิเลส) คืออยู่ป่าเป็นนิตย์ บิณฑบาตเป็นนิตย์ และใช้ผ้าเพียงสามผืน พากันเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ไปไม่ทันเพราะถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน จึงจำพรรษาที่เมืองสาเกตระยะทางเพียง ๖ โยชน์เท่านั้นก็จะถึงเมืองสาวัตถี พากันกระวนกระวายตลอดพรรษา เพราะอยู่ใกล้แค่นี้ก้ยังไม่ได้ มีโอกาสเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าสมใจนึก ครั้นออกพรรษาจึงพากันรีบเร่งออกเดินทางไปเฝ้า ระหว่างทางฝนยังตกชุก จีวร และบริขารเปียกโชกด้วยน้ำฝนและโคลนเลน ได้รับความลำบากไปตลอดทางจนถึงสำนักของพระผ้มีพระภาคเจ้า

เป็นธรรมเนียมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหลายที่ทรงปราศรัย และตรัสถามภิกษุอาคันตุกะผู้มาเฝ้าพระองค์ "ดู ก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอยังพอทนยังชีพอยุ่ได้หรือ พอยังอัตภาพไปได้อยู่หรือ พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจสมัครสมานกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ"

พระธุดงค์ชาวเมืองปาไฐยได้กราบทูลให้ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดที่แล้วมา

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม และทรงอาศัยเรื่องนี้เป็นเหตุ จึงทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุผุ้จำพรรษาแล้วได้กรานกฐิน

ตรัสอานิสงส์ของการได้กรานกฐิน

๑.เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา

๒.ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ

๓.ฉันคณะโภชนะได้ (นั่งล้อมโภชนะฉัน หรือ ฉันเข้าวง)

๔.ทรงอติเรกได้ตามปรารถนา

๕.ย่อมได้จีวรที่เกิดขึ้น ณ ที่นั้น

ผลบุญของการถวายผ้า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลาย จงฟังถึงกรรมที่เราได้กระทำไว้แล้ว เราเห็นภิกษุผู้อยู่ป่ารูปหนึ่งจึงได้ถวายผ้าท่อนเก่า ในกาลนั้นเราได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลแห่งกรรมอันเนื่องด้วยผ้าท่อนเก่านั้นได้สำเร็จแม้ในความเป็นพระพุทธเจ้า"

สัปปุริสทาน ๕ พร้อมทั้งอานิสงส์

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สัปปุริสทาน ๕ อย่างนี้คือ

๑.ให้ทานด้วยศรัทธา (ความเชื่ออย่างมีเหตุผล)

๒.ให้ทานด้วยความเคารพ

๓.ให้ทานตามกาล

๔.ให้ทานมีจิตอนุเคราะห์

๕.ให้ทานไม่กระทบตน ไม่กระทบผู้อื่น

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !บุคคลให้ทานด้วยความเชื่อแล้ว ในที่ที่ผลแห่งทานนั้นเกิดขึ้นแก่เขา เขาย่อมเป้นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปงามน่าดู

น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มี ผิวพรรณงดงามอย่างยิ่ง"

"บุคคลให้ทานด้วยความเคารพแล้ว .ในที่ที่ผลแห่งทานนั้นเกิดขึ้น แก่เขา เขาย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเขามีบุตร ,ภรรยา,ทาส ,คนรับใช้ หรือกรรมกรก็ตาม บุคคลเหล่านั้นย่อมตั้งใจ สนใจฟัง ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตรับรู้(คำสั่ง)"

"บุคคลให้ทานตามกาลแล้ว" ในที่ที่ผลแห่งทานนั้นเกิดขึ้นแก่เขา เขาย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และความต้องการทั้งหลายของเขาที่เกิดขึ้นตามกาล ย่อมบริบูรณ์"

"บุคคลให้ทานมีจิตอนุเคราะห์แล้ว ในที่ที่ผลแห่งทานนั้นเกิดขึ้นแก่เขา เขาย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และจิตของเขาย่อม น้อมไปเพื่อบริโภคในกามคุณ

๕ โอฬาร"

"บุคคลให้ทานไม่กระทบตน ไม่กระทบผู้อื่นแล้วในที่ที่ผลแห่งทาน นั้นเกิดขึ้นแก่เขา เขาย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และความล่มจม แห่งโภคะของเขาย่อมไม่มาจากที่ไหนๆ คือไฟจากน้ำ จากพระราชา จากโจร หรือจากทายาท ซึ่งไม่เป็นที่รัก

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! นี้แลสัปปุริสทาน ๕ อย่าง"

(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ ข้อ ๑๙๒)

บุญแบบไหน?

สร้างกุศล ปนเหล้า ไม่เอานะ

ควรจะละ ให้ขาด ประกาศสั่ง

ดื่มสุรา ยาเมา เอาบุญบัง

มันน่าชัง เหลือฝืน ถ้าขืนมี

เป็นชาวพุทธ ควรถือ คือสัจจะ

ควรรู้ละ บางอย่าง ในบางที่

ในเขตวัด พุทธสถาน ลานเจดีย์

ไม่ควรมี สิ่งชั่ว เรื่องมัวเมา

ท่านพุทธทาส ได้แบ่งการทำบุญออกเป็น ๓ แบบ คือ

ทำบุญแบบอาบน้ำโคลน

ทำบุญแบบอาบน้ำหอม

ทำบุญแบบอาบน้ำสะอาด

๑.ทำบุญแบบอาบน้ำโคลน หมายถึง ทำบุญแต่ทำบาปด้วย เช่นไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่าด้วย ไปกินเหล้าสูบบุหรี่ด้วย ฆ่าวัว ฆ่าหมู เป็ดไก่ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วย

๒.ทำบุญแบบอาบน้ำหอม หมายถึง ทำบุญเพื่อแลกเอาสวรรค์วิมาน ทำบุญเพื่อถูกหวย ถูกลอตเตอรี่ ให้ค้าขายร่ำรวย ให้การงานก้าวหน้า ทำบุญสิบบาทจะให้ถูกรางวัลที่๑ จะให้ได้วิมานหลังหนึ่ง จะให้หายจากโรคภัยต่างๆ เป้นการค้ากำไรเกินควร

๓.ทำบุญแบบอาบน้ำสะอาด หมายถึง การทำบุญชนิดที่เป็นการล้างบาป

คือความโลภ ความเห็นแก่ตัว เพื่อการปล่อยวางความยึดถือว่าเป็นตัวกู ของกู

ฉะนั้นชาวพุทธใครชอบอาบน้ำอะไร? เชิญเลือกกันเอาเองเถิด



เจริญธรรม หมายเหตุ บันทึกนี้ทำไว้ล่วงหน้า สำหรับกำหนดการบุญกฐิน

จะนำมาบอกกล่าวอีกครั้ง..ธรรมรักษา


วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันนี้วันพระ : ธรรมะจากท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร : อย่าประมาท



สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ


อย่าประมาท

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)

แสดง ณ วัดอโศการาม ๔ ตุลาคม ๒๕๐๓
จากหนังสือ "ท่านพ่อลี ธัมมธโร"
ชมรมพุทธศาสน์ กฟผ. พิมพ์เผยแพร่


การที่พวกเราได้มาสับสร้างความดีกันได้เช่นนี้ ก็อย่าลืม มันอาจที่จะให้ผลแก่เราได้ อย่าประมาทว่าผลเล็กน้อยที่เราทำมานี้ จะไม่ได้ผลอะไรมากมาย อย่าประมาท อย่างพระพุทธเจ้าท่านได้ทรงสอนไว้ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุสามเณรหรือญาติโยมบางคน เวลาบวช มาศึกษาปฏิบัติก็ตัดกิเลสของตนไม่ขาด พอทำกิเลสของคนให้เบาบางเล็กน้อยล งไปบ้างเท่านั้น ใจก็ท้อถอย ไม่สามารถทรงเพศบรรพชิต อยู่ในศาสนาได้ ก็สึก เมื่อสึกไป ก็ไปประกอบกิจการงานต่างๆ ที่เกี่ยวถึงอาชีพ เมื่อประกอบกิจการต่างๆ บางคราวก็สุจริต บางคราวก็ทุจริตเมื่อได้ทำความชั่ว ทุจริตเกิดขึ้น ก็ได้รับทัณฑ์โทษทางบ้านเมือง เมื่อได้รับโทษ ก็ถูกจับถูกกุมถูกคุมขัง


ตัวอย่าง เช่น ลูกศิษย์พระสารีบุตร มาบวชบำเพ็ญคุณงามความดี ก็ไม่ได้อย่างนึกเลยสึกไป เมื่อสึกไปก็ไปประพฤติตัวเป็นโจร เมื่อประพฤติตัวเป็นโจรเป็นขโมย ก็ถูกจับกุมลงโทษถึงประหารชีวิต ก่อนที่จะประหารชีวิตนั้น เขาก็เอาโจรคนนั้นไปทรมานอยู่ ๗ วัน วันหนึ่งนั้นได้ทรมานร่างกายให้ประชาชนได้เห็นมาชม เพื่อเป็นเครื่องปราบคนร้าย ส่งอำมาตย์ให้ทำหลาวไม้รวกหลาวเหล็ก ทำปลายอย่างแหลมคมกล้า แล้วเขาก็รัดไว้เป็นแถวเป็นแนว เสร็จแล้วจึงจับโจรนั้นขึ้นไปนอนขึ้นไปนั่ง ให้หลาวนั้นเสียบแทงอวัยวะร่างกาย ให้เลือดไหลอาบตัวอยู่ ได้รับความทุกข์อย่างสาหัส วันหนึ่งทำตอนเช้า แล้วก็ทำตอนเที่ยง ทำตอนเย็น ป่าวร้องประชาชนพลเมืองมาดูตัวอย่างผู้ประพฤติตนไม่ดี ต้องถูกทรมานตนอย่างนี้ โจรคนนี้แกก็ได้ถูกทรมานตัวอย่างเข็มงวดแข็งแรง และถูกทรมานอยู่อย่างนี้จนกว่าจะถึง ๗ วัน เมื่อทรมานครบเจ็ดวันแล้ว ก็จะเอาตัวไปประหารชีวิตคือตัดศีรษะให้ตาย


อยู่มาวันหนึ่ง ด้วยอำนาจวาสนาซึ่งเคยได้ไปศึกษาอบรมอยู่กับพระสารีบุตร คือเมื่อตอนไปบวชอยู่กับพระสารีบุตร ท่านก็แนะนำให้ประพฤติธุดงควัตรแล้วก็สอนสมณธรรมให้ ได้บำเพ็ญอบรมจิตใจบำเพ็ญคุณงามความดีของคนนั้นได้แก่ปฐมฌาน แต่ปฐมฌานนั้น มันยังไม่สามารถต้านทานกิเลสตัณหาให้ขาดไปได้ จึงได้ลาเพศไปเป็นคฤหัสถ์


ใน วันที่ ๖ อำนาจบุญวาสนาของท่านพระสารีบุตร ซึ่งเป็นผู้มีเมตตา ได้ช่วยเยียวยาสั่งสอนประชาชนทำกิจศาสนาแทนพระพุทธเจ้า ท่านก็ได้เล็งญาณทัศนะการดูหมู่คณะสานุศิษย์ ว่าบวชแล้วยังอยู่ไหนบ้าง สึกแล้วไปอยู่ไหนบ้าง ไปประกอบอาชีพกิจการงานต่าง ๆ อยู่ไหนบ้าง และด้วยบารมีที่ได้สะสมร่วมกับท่านมา ก็ได้ปรากฏแสงสว่าง แลเห็นลูกศิษย์คนนั้นกำลังถูกทรมานอยู่อย่างสาหัส แล้วเขาก็จะตัดศีรษะประหารชีวิตในวันพรุ่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ พิจารณาเห็นอำนาจบารมีของเขาที่ได้บำเพ็ญไว้ ยังมีเป็นนิสัยอยู่ แต่มันเสื่อมไปหมด แม้กระนั้น ความดีที่ทำไว้แล้ว มันก็ยังฝังอยู่ในนั้นแหละถึงมีกิเลสหุ้มห่อดวงจิตไว้ ความดีก็ยังอยู่


เมื่อ ท่านรู้อย่างนี้ ท่านก็ไปบิณฑบาต เมื่อไปบิณฑบาตในเวลาตอนเช้า นายโจรกำลังนอนอยู่บนหลาวเหล็กและหลาวไม้รวก พระสารีบุตรก็ผ่านไปใกล้ๆ คนก็แตกตื่น บางคนก็ตื่นกันไปดูพระสารีบุตร บางคนก็ตื่นกันไปดูโจรที่ถูกทรมาน พอดีแหวกช่องให้ลูกศิษย์คนนั้นเห็น พระสารีบุตร เห็นชายจีวรเท่านั้นแหละ พระสารีบุตรท่านก็แผ่เมตตาจิต ด้วยอำนาจเมตตาจิตของท่านนั้น ก็กระเทือนถึง เป็นเครื่องยืนยัน แต่เข้าไปใกล้ไม่ได้


เมื่อลูกศิษย์คนนั้นได้เห็นพ ระสารีบุตรก็เกิดความดีใจ นึกในใจว่า วันพรุ่งนี้จะต้องลาอาจารย์ คือจะต้องถูกประหารชีวิต ก่อนที่จะลาอาจารย์นั้น ก็นึกถึงการกราบการไหว้ การทำสักการะบูชาและก็คำนึงถึงคำภาวนาที่อาจารย์สอนให้ แกก็ได้เจริญฌาน ทำจิตให้สงบ เป็นสมาธิ เมื่อทำจิตให้สงบ ก็ได้ระลึกถึงความตาย ว่าเอาเราแน่ละ ไม่ต้องสงสัย เป็นมรณานุสสติ แล้วก็ค้นคิดเข้ามาว่า เขาตายกันอยู่ที่ไหน ความตายมันอยู่ที่ไหนกัน ก็ปรากฏว่า ความตายมันมาอยู่ที่ปลายจมูก ถ้าลมดับ เสร็จ ตายเป็นแน่ ถ้าลมหายใจยังอยู่ ถึงแม้จะถูกทรมานอย่างแสนสาหัสก็ไม่ตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็บำเพ็ญอานาปาน์ มาจำเริญกำหนดลมหายใจ เมื่อจิตเข้าไปจับลมเท่านี้แหละ ไอ้เจ้าลมก็หยุด โลหิตนั้นก็หยุดไหลทันที เมื่อโลหิตหยุดไหล เนื้อหนังที่ขาดเป็นช่อง มันก็ติดกันหมด
เมื่อเห็นแผลปิดเช่นนั้น ก็เกิดปีติ ดีอกดีใจว่าเราได้ภาวนากระทำจิตถึงกับระงับทุกขเวทนาได้ถึงขนาดนี้ ก็ตั้งใจพิจารณาส่วนต่างๆ ของร่างกาย พิจารณาเกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ทวนกลับไปกลับมา ในที่สุดส่วนอวัยวะที่ขาดฉีกกลับติดต่อกันได้หมด ทีนี้เมื่ออวัยวะเกิดกำลังกล้าก็สามารถนั่งขัดสมาธิบนหลาวเหล็กและหลาวไม้ รวกเมื่อขึ้นไปนั่งสมาธิบนหลาวเหล็กและหลาวไม้รวกได้เช่นนั้น ขั้นสมาธิสองชั้น แล้วก็บำเพ็ญฌานเจริญฌานที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม จนถึงที่สี่ เมื่อได้ถึงฌานที่สี่ ร่างกายนั้นก็เบาเหมือนปุยนุ่นแข็งกว่าหลาวเหล็ก แข็งกว่าหลาวไม้รวก หลาวแหลมนั้น ทิ่มแทงกายลูกศิษย์ของพระสารีบุตรนั้นไม่ได้อีกเลย


ใน ที่สุดโจรคนนั้นก็ได้นั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอัปปนาฌาน ตั้งอธิษฐานจิตว่าเราจะไปอยู่กับอาจารย์ ถ้าเรารอดตัวครั้งนี้ แล้วก็บำเพ็ญฌานที่สี่ได้สำเร็จดี มีองค์อยู่สองอย่างคือจิตเป็นเอ กัคคตารมณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งหมด สัญญาที่เขาจะฆ่าไม่มี กับไปไหนไม่ทราบ วางหมด และเป็นผู้มีสติสว่างไสว แล้วก็มองเห็นอาจารย์ อาจารย์ไปอยู่ที่ไหนก็มองเห็นด้วยอำนาจแสงสว่าง ในที่สุดก็อธิษฐานจิตว่า เราจะไปอยู่กับอาจารย์ เมื่ออธิษฐานจิตอย่างนี้ ร่างกายก็ลอยเหาะไปในอากาศ เมื่อเหาะไปในอากาศ ก็ไปหาอาจารย์ เมื่อไปอยู่กับอาจารย์ก็ให้คำรับรองปฏิญาณตนว่าจะไม่ทำบาปอกุศลอย่างนี้อีก ต่อไป ก็ได้บำเพ็ญวิสัยสืบต่อก็รอดตัวแต่ยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพ รอดตัวแค่กันตายในชาตินั้นเพียงเท่านั้น


นี่ แสดงถึงเรื่องความดีที่ได้บำเพ็ญกันมานั้น แม้เมื่อมันยังไม่เกิดสม ใจของเราในขณะนั้นก็ตาม ก็อย่าประมาท คือความดีนิดๆ หน่อยๆ นั้น มันเหมือนกับไฟ ไฟนั้นอย่าไปประมาท เพียงไม้ขีดลูกเดียวเท่านั้น มันสามารถสังหารผลาญบ้านเมืองให้ย่อยยับได้ นี่ความดีมันมีอำนาจ เหตุนี้พระองค์จึงได้สั่งสอนพวกเรา มิให้ประมาท ความดีที่ได้สร้างมา ถึงแม้จะเล็กน้อยก็ตามย่อมมีอำนาจสามารถจะช่วยป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ ผ่อนหนักผ่อนเบาให้ปลอดภัยนี่ประการหนึ่ง

อีกนัยหนึ่ง เรื่องของคนเรานั้นก็มาก นิสัยคนบาปคนนั้นเหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้บางชนิด เช่นต้นฟักทอง หรือลูกฟัก เมื่อเราไปปลูกฝังไว้ยังพื้นแผ่นดิน เราก็อยากกินลูกเร็วๆ อยากกินผลเร็วๆ มันก็หาเป็นอย่างความคิดนึกของเราไม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี ธรรมชาติความดีที่ได้ปลูกสร้างลงไป มันก็ค่อยเจริญขึ้นทีละนิดๆ เมื่อมันเจริญขึ้นแล้ว นานเข้าก็ย่อมออกผลให้เป็นธรรมดา แต่เราไปนั่งสังเกตดูซิว่ามันยาว ขึ้นวันหนึ่ง นาทีหนึ่ง ยอดมันยาวขึ้นประมาณสักกี่เซนต์ ให้ไปเขียนดูชิ เขียนไม่ได้ ยอดฟักทองน่ะ มันงอกออกมาวันหนึ่งได้เท่าไร เขียนได้ไหมเล่า เขียนไม่ได้ แต่เราเชื่อไหมว่า มันต้องงอกขึ้นทุกวัน ถ้ามันไม่เป็นจริงอย่างนั้นแล้วมันจะยาวขึ้นได้ยังไง นี่ฉันใดก็ดี ความดีของพวกเรา เราจะสับสร้างได้มากน้อยเพียงไรก็ตามถึงเราจะมองไม่เห็นผลก็ตาม แต่มันก็ได้ เราบอกไม่ได้ว่าเราดีเท่านั้นๆ เราก็บอกไม่ได้ วันหนึ่งเราได้ทำดี บอกได้ แต่ไอ้ความดีที่มันเกิดขึ้นจากการทำ มากน้อยเท่าไร บอกไม่ได้ ถามว่าได้ผลหรือเปล่า ได้ซี เหมือนยอดฟักทอง แต่เขียนบอกไม่ได้ว่าเกิดมาวันหนึ่งๆ ได้เท่าไร ไม่รู้ว่ามันเกิดมายาวเท่าไร แต่มันยาวออกมาไหมล่ะ ตอบว่าต้องยาว ฉันใดก็ดี คุณงามความดีทั้งหมด ซึ่งมันเกิดขึ้น ไม่เป็นอย่างเราต้องการ ก็อย่าประมาท นี้ข้อหนึ่ง

ข้อที่สองนั้น นิสัยของผู้ปฏิบัติ บางท่านหรือบางจำพวกมันเหมือนต้นกล้วยคือธรรมดาต้นกล้วยนั้น เมื่อเราไปตัดต้นของมันขาดเสีย ในชั่วเวลาสักชั่วโมงเดียว ถ้าเราไปดูจะแลเห็นว่ายอดกล้วยนั่นมันโผล่ออกมาได้ตั้งนิ้ว ถ้าสองสามวันก็ขึ้นมาตั้งศอกตั้งแขน นั่นเห็นเร็ว นี่จำพวกหนึ่ง พวกเขาก็เหมือนกัน บางผู้บางคน การปฏิบัติคุณงามความดีเห็นผลเร็ว เกิดโลดโผนสามารถหลายท่าหลายทาง ตัวอย่างสามารถทำฌานของตนให้เกิดขึ้นได้ สามารถที่จะชี้แจงอรรถาธิบายในข้อธรรมะ ที่มันเกิดขึ้นกับตนให้คนอื่นฟังได้ชัดเจน นี่บางท่านเป็นอย่างนี้



ใน สมัยครั้งพุทธกาลก็เหมือนกัน เช่น พระจูฬบันถกบำเพ็ญคุณงามความดีมานาน แต่เวลามาเจริญกรรมฐานด้วยความเหยียดหยามของบุคคลผู้อื่น ปฏิบัติด้วยความแค้นใจเท่านั้น ได้ผลเลยคือ สมัยครั้งหนึ่งได้อยู่กับหมู่คณะตั้ง ๕๐๐ องค์ วันหนึ่งเศรษฐีมานิมนต์ไปฉันอาหารบิณฑบาตในบ้าน ส่วนพี่ชาย พระมหาบันถกนั้น เป็นภัคตุทเทศก์ เมื่อใครมานิมนต์พี่ชายเป็นผู้จัดการที่จะนิมนต์พระไปในภัตตกิจใน

วัน นั้น พระมหาบันถกพี่ชาย เห็นว่าพระจูฬบันถกนั้นขี้เกียจบำเพ็ญ กรรมฐาน ก็ได้แต่สัปหงก มีถีนมิทธะครอบงำจิตใจ อย่าเอาไปกินข้าวในบ้านเขาเลย เลยไม่นิมนต์พระจูฬบันถก นิมนต์แต่พระองค์อื่น ๆ ไป ๔๙๙ รูป มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ไปในงานถวายท่านของเศรษฐี เมื่อไปถึงบ้านเศรษฐีๆ ก็จัดอาหารถวายพระครบหมด แต่อาหารเหลืออยู่ถาดหนึ่ง เศรษฐีก็ถามว่า ทำไมพระขาดห้าร้อย มหาบันถกก็บอกว่า พระจูฬบันถกไม่ได้นิมนต์มา ทีนี้เศรษฐีก็ไต่ถามพระพุทธเจ้าๆ ก็รับสั่งว่า พระจูฬบันถกเป็นคนสำคัญ บัดนี้ เศรษฐีต้องไปนิมนต์ ท่านเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง

ส่วนทางพระจูฬ บันถกแค้นใจ เขาเหยียดหยามย่ำยี วันนี้ตั้งอกตั้งใจจะไม่กินข้าว นั่งสมาธิบำเพ็ญฌาน บรรลุถึงฌานที่สี่ จนดวงจิตตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยก้าวหน้าถึงขนาดนั้น เมื่อได้ฌานที่สี่แล้ว ก็เข้าฌานที่ห้า ทำจิตสว่างไสว เบิกบานแจ่มใส เกิดกำลังกาย เกิดกำลังจิต พอดีคนของเศรษฐีนั้นเข้ามานิมนต์ ในตอนนี้ พระพุทธเจ้าอยากแสดงให้เศรษฐีเห็น อำนาจ ไม่บอกวิธีนิมนต์ ให้ไปรู้เองเสียก่อน จึงจะค่อยพูด ส่วนทางพระจูฬบันถกก็อธิษฐานจิต เมื่ออธิษฐานจิต พระเต็มวัดหมด ไม่รู้มาจากไหนกัน เกลื่อนกล่นไปหมด บางองค์ก็นั่งสมาธิ บางองค์ก็เดินจงกรม บางองค์ก็ซักจีวรวุ่นวายกันไปทั้งวัด ทีนี้คนไปนิมนต์ถามว่า พระจูฬบันถกอยู่ที่ไหน ท่านก็ชี้มือบอกไปข้างหน้า ว่าอยู่ทางโน้น ไปถามองค์โน้น ก็บอกต่อๆ ไป ถามไปจนหมด ไม่ใช่จูฬบันถกสักองค์ ถามไปองค์โน้นๆ ก็ชี้ไปทางนี้ ถามองค์นี้ๆ ก็ชี้ไปทางโน้นให้ยุ่งกันไปจนหมดเวลาฉันอาหาร ในที่สุดไม่ได้ ก็วิ่งกลับไปในบ้านอีก

เมื่อเข้าไปในบ้าน ทีนี้พระพุทธเจ้าทราบว่าพระจูฬบันถกนั้นเป็นคนแก่กล้า สามารถที่จะแสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่เขาได้ ก็จะได้หายจากการดูถูกเหยียดหยามย่ำยี พระองค์จึงทรงชี้แจงว่าให้ไปนิมนต์ใหม่ นิมนต์คือทำยังไงเมื่อไปนิมนต์ละ ก็ ถามท่านว่า องค์ไหนเป็นจูฬบันถก เวลาท่านอ้าปาก เปิดปากที่จะบอก ให้รีบจับคว้าแขนทันที อย่าให้ท่านบอกได้ ทีนี้ก็ได้การละซี ก็ไปที่วัด ที่มีพระมากเต็มหมด ทีนี้ก็ไปถาม ว่าองค์ไหนคือพระจูฬบันถก พอท่านจะชี้บอกก็คว้าแขน จับแขนปั๊บเดียวเท่านั้นแหละพระทั้งหลายหายหมด เหลือพระองค์เดียวที่จับแขนอยู่เท่านั้น ทีนี้ก็ได้นิมนต์ไปฉันอาหารบิณฑบาต ในบ้านของเศรษฐี


แต่นั้น พระจูฬบันถกก็เด่นในวงการของคณะ เป็นผู้สามารถทำการอย่างโลดโผน ห้อยโหนโยนตัว สามารถตากแดดไม่ต้องร้อน สามารถตากฝนไม่ต้องเปียก ทางไกลๆ สามารถที่จะไปให้ได้ถึงเร็ว มีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ ตัวท่านองค์เดียวอยู่ที่นี้ สามารถให้ไปปรากฏได้ที่ป่าช้า ปรากฏที่อื่นๆ ทำได้ด้วยวิธีหลายอย่าง พระจูฬบันถกก็กลายหายไปจากความแค้นที่หมู่คณะเหยียดหยาม เลยเป็นคนเด่นโลดโผนตั้งแต่นั้นต่อมา นี่อำนาจคุณงามความดีนั้น บาลีท่านก็โลดโผนเร็ว แตกฉานกว้างขวาง แก่ด้วยสมถะ แก่ด้วยวาสนา สามารถที่จะโลดโผนและก้าวไปสู่พระนิพพานได้ในชาตินั้น นี่เรื่องความดีที่ได้อบรมทำมานั้น เป็นบารมีธรรมทั้งสิ้น ฉะนั้นควรที่จะต้องพากันมีความภูมิใจในการกุศลนี้


อีกเรื่อง หนึ่ง ยังมีเทพยดาองค์หนึ่ง แต่ก่อนเป็นผู้หญิง ในสมัยครั้งหนึ่งแกไปวัดไปเห็นมันรกในทางจงกรมของพระ แกก็ไปเขี่ยขี้ฝอยในทางจงกรมนั้น เพื่อให้ความสะดวกในการเดินจงกรม ของพระ ครั้งเดียวเท่านั้น แต่แกทำด้วยความรัก แกทำด้วยความเชื่อ ทำด้วยความนับถือ ทำด้วยความบริสุทธิ์จิต เพราะของที่รกรุงรังสกปรกนั้น ยังความเศร้าใจให้เกิดขึ้นท่านเห็นเป็นเช่นนี้จึงได้เก็บขี้ฝอยออกจากที่ทาง แล้วก็หาน้ำล้างเท้ามาไว้ในที่นั้น เก็บขี้ฝอยขี้เศษต่างๆ รกรุงรังออกหมด แกก็รู้สึกว่า ใจสบายผ่องแผ้ว กลับไปบ้าน


บังเอิญไปเกิดเป็น ลมตาย ตายจากโลกนี้ก็ไปเกิดเป็นเทวดา มีบริษัทบริวาร มีอาหารทิพย์ มีปราสาท มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมากมาย เมื่อไปอยู่ที่นั้น ระลึกชาติได้ เมื่อระลึกชาติได้อย่างนี้ ก็นึกในใจว่า ถ้าเราทำบุญมากๆ ก็จะได้ดีมากกว่านี้ จะขอไปทำความดีอีกสักหน่อยเถอะ เพื่อให้มันยิ่งกว่าที่ได้ผลอยู่ขณะนี้ แต่ก่อนไม่ยักรู้ว่ามันจะได้รับผลอย่างนี้


ก็ได้ลงมาจาก สวรรค์ ไปเที่ยวหาพระอยู่ตามป่าตามพง พอไปเห็นพระองค์หนึ่งท่านกำลังเข้าสมาธิ ฝ่ายเทวดาก็มายืนจ้อง คอยปฏิบัติอุปัฏฐากพระ ท่านเลยตะเพิดไป "เทวดา ทำไมมาแย่งบุญมนุษย์ แต่ก่อนนี้มันประมาท เมื่อไปเสวยผล ได้รับผลดีแล้ว ยังจะอยากโลภมาก ไม่เอา ไม่ให้ท่านให้มนุษย์เขามาทำ คนที่ยังไม่ได้รับความดีอย่างแกนั้นยังมีอยู่อีกมาก ไม่ต้องมาแย่งเขา" เปิดเลย เทวดานั้นขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ ก็ได้ผลแค่นั้น บุญใหม่ควรทำต่อ เขาไม่ให้ทำ
นี่เพราะเหตุ ใด เพราะเหตุว่า คนเราประมาทในบุญเล็กน้อย เมื่อตายไปแล้ว จะมาทำบุญกุศลน่ะ มันยากนัก ยากยังไง กายก็ไม่เหมือนกายมนุษย์ จะมาพูดกับมนุษย์ก็ไม่ได้ จะมาใส่บาตรทำบุญก็ไม่ได้ อย่างดีก็เพียงมายืนคอยอนุโมทนาเท่านั้น ถ้าใครตาดีก็เห็น ใครตาไม่ดีก็ไม่พบพาน ถ้าใครมีภูมิรู้ในทางจิต ก็พอจะแนะนำสั่งสอนกันบ้าง ถ้าไม่มีคนเช่นนั้น เทวดาก็ไม่มีหนทางที่จะบำเพ็ญคุณงามความดีต่อได้เลย นี่มันเป็นอย่างนี้


ฉะนั้น จึงอย่าพากันประมาท เมื่อเรามีโอกาสและเวลา คุณงามความดีใดๆ ในโลกพอจะสามารถและมองเห็น เราก็ควรจะต้องรีบขวนขวาย พยายามทำความดีนั้นเสียโดยเร็ว ถ้าความตายเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เราจะไปเอาอะไร ไม่มีอะไรสักอย่าง อย่างดีที่สุดก็จะได้แค่ห่อข้าวตากของตนที่ทำไว้แล้วนั่นแหละ คือความดีที่เราสับสร้างมาแต่ก่อน แล้วก็มาระลึกขึ้นความดีนั้นก็จะไปช่วยบำรุงน้ำใจของเรา อำนวยผลให้บุคคลผู้นั้นไปในทางสุคติ โลกสวรรค์ถ้าใครได้มีนิสัย ได้อบรมในทางจิต หรือในทางสมาธิให้แก่กล้าก็สามารถบำเพ็ญให้ตนพ้นไปจากโลกียวิสัย ทำใจของตนให้ก้าวขึ้นไปสู่โลกุตรธรรมได้


นี่ฉะนั้น พวกเราที่ยังไม่เกิดความดีอย่างสมใจนึกก็ดี อย่าประมาท ผู้ทำความดีได้ยังไม่สมใจอย่างนึกก็อย่าประมาท ก็ควรจะถือว่าสิ่งที่เราทำลงไปนั้น เป็นทรัพย์ของเรา ทรัพย์ของเรานี้ เป็นเครื่องป้องกันชีวิตของเรามิให้ตกไปในฝ่ายต่ำ แม้อยู่ในโลกนี้เราก็อาศัยความดีคือธรรมะนี้ เป็นผู้บงการชีวิต ถ้าเราดับจิตไปจากโลกนี้ ความดีก็จะต้องติดตามตนไปเหมือนกับเงาของบุคคลย่อมตามตนไปทุกเมื่อฉะนั้น


นี่ กล่าวถึงเรื่องความดี ซึ่งพวกเราได้พากันสับสร้างคุณงามความดี ร่วมใจกันในที่นี้ก็จงพากันถือคติที่ได้เตือนใจมานี้ เป็นเครื่องระลึก เป็นธรรมานุสสติภาวนากันต่อไป

ขอให้มีความสุขความเจริญในธรรมเทอญ



วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรารักพระเจ้าอยู่หัว

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ
จดหมายฉบับนี้ยาวมาก หากรัก'พระองค์ท่าน' กรุณาอ่านให้จบด้วยนะ

เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้ 



1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม 'ภูมิพล' ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7


4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช


5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์ เก่าโรงเรียนมาแตร์เ ดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า 'H.H Bhummibol Mahidol'หมายเลขประจำตัว 449


7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือ สมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า 'แม่'
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัย พระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หล ายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต


11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า'บ๊อบบี้'
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุก ขึ้นบ่อยๆ

13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรง ได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้' โดย สมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี' หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำ อะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า 'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน'





17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก 'การเล่น' สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรง เก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์



21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรง พระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ 'แสงเทียน' จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง 'เราสู้'
26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5


27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระอ งค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโ ปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง 'นายอินทร์' และ 'ติโต' ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ 'พระมหาชนก' ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์


29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น 'กีฬาซีเกมส์') ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ 'กังหันชัยพัฒนา' เมื่อปี 2536

33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็น พลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง




35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบ ดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า'น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง



37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริ กิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท


37. หลังอภิเษกสมรส ทรง'ฮันนีมูน'ที่หัวหิน


38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม


44. วัน ที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ



47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรท่ามกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจน

เป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้


51. เวลามีพระร าชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า 'ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระก ระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก


60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก< /SPAN>
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใก ล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ


64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด ส ุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า 'นายหลวง' ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า 'ทำราชการ'
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า'อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก'
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จั ดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน


75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง


77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด



Welcome

ธรรมสามัคคี

SocialTwist Tell-a-Friend

AddThis

Bookmark and Share

มิตรภาพไร้พรมแดน

สถิติผู้มาเยี่ยมเยือน

ผู้ติดตาม