วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"นิทานพัฒนภัย..การล่มสลายของอาณาจักรสุวรรณภูมิ"



สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ


นานมาแล้วเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อน อาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นดินแดนแสนสงบสุข ภูมิประเทศงดงามดังสรวงสวรรค์ เทือกเขาด้านทิศเหนือเป็นต้นกำเนิดของลำนํ้าหลายสายไหลลงมาบรรจบกันเป็นลำนํ้าใหญ่ชื่อว่า แม่นํ้ามรกต แล้วไหลผ่านทะเลสาบนาคินทร์ลงสู่ทะเลหลวงทางทิศใต้ของอาณาจักรสุวรรณภูมิพื้นที่ส่วนมากทางทิศเหนือและทิศตะวันตกของอาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นป่า่ไมเ้บญจพรรณ มีประชากรอาศัยอยู่เพียงประปราย ส่วนใหญ่รักสงบ ดำรงชีวิตเรียบง่าย เลี้ยงชีพด้วยการหาอาหารป่ามากกว่าการเพาะปลูกพื้นที่ทางทิศตะวันออกเป็นป่าละเมาะ มีประชากรพอปานกลาง เลี้ยงชีพด้วยการเพาะปลูกและปศุสัตว์ส่วนพื้นที่ทางทิศใต้เป็นป่าพรุ อุดมด้วยสัตว์นํ้านานาชนิด มีประชากรค่อนข้างมาก เลี้ยงชีพด้วยการจับสัตว์นํ้าและเพาะปลูกพื้นที่ทิศใต้ตอนบน บริเวณติดกับทะเลสาบนาคินทร์ เป็นที่ตั้งของ โกสินทร์นคร มีพระราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรม นามว่า พญาโกสินทร์ ผู้ก่อตั้ง ราชวงศ์โกสินทร์ ปกครองอาณาจักรสุวรรณภูมิมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับพันปีต่อมาเมื่อราว 350 ปีที่แล้วนี่เอง ชาวยุโรปได้ออกล่าอาณานิคมมาถึงดินแดนแถบนี้ ทำให้ประชากรค่อยๆเกิดความตื่นตัวที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในโกสินทร์นครให้เจริญทันสมัยเยี่ยงชาวยุโรปขณะที่ประชากรชนบทในภูมิภาคต่าง ๆ ของอาณาจักรสุวรรณภูมิยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ค่อยได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เพราะการสื่อสารและการคมนาคมในสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้าอย่างปัจจุบันกระทั่งผ่านเวลาไปอีก 100 ปี หรือราว 250 ปีที่ผ่านมา ได้เกิด การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ช่วยให้การสื่อสารและการคมนาคมทั่วโลกดำเนินไปได้อย่างคล่องตัวและกว้างขวาง ความรู้สมัยใหม่แพร่สะพัดมาถึงสุวรรณภูมิอย่างรวดเร็ว ประชากรในโกสินทร์นครจึงรู้จักใช้เครื่องมือนานาชนิดในการอำนวยความสะดวกสบายแก่ชีวิตประจำวันมากขึ้นขณะที่ประชากรในชนบทก็เริ่มรู้จักใช้เครื่องมือสมัยใหม่ในการแปรรูปทรัพยากรนานาชนิดเพื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้มากยิ่งกว่าเดิม มี พ่อค้าคนกลาง นำสินค้าจากชนบทส่งผ่านทั้งโดยทางนํ้าและทางเกวียนเข้าสู่โกสินทร์นครมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนำเงินตราและสินค้าสมัยใหม่มากมายจากโกสินทร์นครกลับลงไปสู่ชนบทสินค้าสมัยใหม่ สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชาวชนบทได้อย่างต่อเนื่อง วิถีชีวิตของชาวชนบทเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มี เทียนไข ใช้แทนการ จุดไต้จุดคบ ต่อมาก็มี ตะเกียงนํ้ามัน ที่ให้แสงสว่างยาวนานกว่า เทียนไขและล่าสุดเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี่เอง แผ่นดินสุวรรณภูมิก็มี ไฟฟ้า ใช้อย่างทั่วถึงทุกภูมิภาคไฟฟ้า ช่วยให้ประชากรสุวรรณภูมิสามารถดำเนินกิจกรรมชีวิตได้อย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันกลางคืน เอื้ออำนวยแก่การเสพสนองกามารมณ์ในทุกรูปแบบอย่างไร้ขีดจำกัด ส่งผลประการหนึ่งให้ประชากรในอาณาจักรสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้น 5 เท่า ในเวลาที่ผ่านไปเพียง 250 ปี แต่มีความต้องการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นถึง 10 เท่าพื้นที่ป่า จึงถูกแผ้วถางอย่างมากมายมหาศาล เพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย เป็นพื้นที่เพาะปลูกเพื่อการแปรรูปเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค และแปรเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายสารพัด ที่นำไปสู่...การแข่งขันกันสนองความทะยานอยากอันไร้ขอบเขต ของประชากรสุวรรณภูมิภายใต้เงื่อนไขการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ดังที่กล่าว โลภะ และ ตัณหา ได้ทวีความรุนแรงและซับซ้อนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน อาชีพพ่อค้าแม่ขายพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ จาก คนรับจ้างนอนเฝ้าสินค้า ในเพิงพักบริเวณ จุดนัดพบเพื่อการแลกเปลี่ยน ใน ยุคจุดไต้จุดคบ พัฒนามาเป็น เจ้าของห้องแถวเรือนไม้ ใน ยุคเทียนไขเป็น เจ้าของตลาดสดขนาดใหญ่ ใน ยุคตะเกียงนํ้ามัน และเป็น เจ้าของศูนย์การค้ามหึมา ใน ยุคไฟฟ้า

เปลือกหอยสวยๆ ที่ถูกนำมาใช้เป็น สื่อกลาง อำนวยความสะดวกเพื่อการแลกเปลี่ยนสิ่งของอุปโภคบริโภคในยุคแรกเริ่ม ได้รับการพัฒนาควบคู่ไปกับศักยภาพในการแปรรูปสินค้า จนกลายมาเป็น ระบบเงินตรา ในยุคหลังและพุ่งทะยานขึ้นเป็น ตัวเลข ในจอตลาดหุ้น ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ อภิชฌา/อภิมหาโลภะ ในการ ล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติ อย่างมโหฬาร จนพลิกโฉมของ โกสินทร์นครสีเขียวครึ้ม ให้กลายเป็นมหานครสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ที่เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้า และตามมาด้วยปัญหานานัปการที่มิอาจพรรณนาได้หมดสิ้นฝูงปลานานาชนิด ที่เคยแหวกว่ายให้เพลินชมอยู่ในแม่นํ้ามรกตหายไปแทบไม่เหลือ สายนํ้าสีเขียวใสอ่อนๆกลายเป็นสีเทาขุ่นเข้มและมากด้วยขยะปฏิกูล ไม่สามารถดื่มกินได้อย่างสมัยก่อนชีวิตที่เคยสงบสุข ไม่รีบเร่ง มีเวลาชมดาวในคืนฟ้าเปิด กลายมาเป็นชีวิตที่ต้องจมปลักอยู่แค่ที่ทำงานหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลีกตัวไปกินอาหารอย่างเร่งรีบ แล้วกลับมาจ่อมจมอยู่กับที่นั่งเดิม จนกระทั่งมืดคํ่าเหนื่อยอ่อน ตะกายเข้าสู่ที่นอนอีกครั้งอย่างสิ้นแรง ราวกับเดินเท้าทางไกลมาตลอดวัน เพราะอิทธิพลของวิถีชีวิตที่แปลกแยกออกจากธรรมชาติเดิมแท้แทบหมดสิ้นและแล้ววาระสุดท้ายของอาณาจักรสุวรรณภูมิก็มาถึง เฉกเช่นชีวิตสัตว์โลกทั่วไป เมื่อมีเกิดก็ต้องมีแก่ และเจ็บป่วยล้มตาย ทว่าแรงกรรมที่สะสมไว้ในรอบนี้ ได้ส่งผลวิบากต่อประชากรสุวรรณภูมิอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ในประวัติศาสตร์ เพราะการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนพลเมืองที่นำไปสู่การบริโภคทรัพยากรอย่างมหาศาลจนเกินกำลังหมุนเวียนของธรรมชาติ ได้ก่อให้เกิด การทำลายสมดุลสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง ภัยแล้ง นํ้าท่วมแผ่นดินไหว จึงอุบัติถี่โถมและหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆแม้การแก้ไขปัญหาหลักทั้ง 3 ด้าน (การเมือง เศรษฐกิจ สังคม)ก็กระทำกันเพียงสร้างภาพฉาบฉวย พลังงานยังคงถูกใช้อย่างฟุ่มเฟือยฟุ่มเฟือยแม้ในนามของการแข่งขันกันรณรงค์ประหยัดพลังงานและยิ่งปลดปล่อยความร้อนสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งเกิด สภาวะโลกร้อน ภัยแล้งและนํ้าท่วมรุนแรงยิ่ง ๆ ขึ้นทุกปี ความชื้นในดินแปรปรวน ศัตรูพืชแพร่พันธุ์ขยายข้ามอาณาเขตอย่างรวดเร็วโรคระบาดทั้งเก่าและแปลกใหม่ลุกลามข้ามทวีป คนและสัตว์ล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง ทำให้อัตราการใช้พลังงานลดลงอย่างรวดเร็วตามจำนวนประชากรโลกที่ล้มหายตายไป อุณหภูมิโลกจึงลดลงเป็นปกติ นํ้าแข็งขั้วโลกยุติการหลอมละลาย ปัญหานานัปการอันสืบเนื่องจากสภาวะโลกร้อนค่อยคลี่คลาย และ อาการป่วยไข้ของโลกค่อยๆทุเลาลง พร้อมๆ กับผืนป่าเริ่มแผ่ปกคลุมซากอาณาจักรสุวรรณภูมิอีกครั้งจักรวาล กว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง โลก เป็นเพียงเศษธุลีของจักรวาลโลก กว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง มนุษย์ เป็นเพียงเศษธุลีของโลกแต่มี คนหลงผิด คิดจะยึดครองโลก และจัดการเปลี่ยนแปลงโลกตามที่ตนปรารถนาทว่าโลกนี้คือของศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าสัตว์โลกผู้มากด้วย โลภะ และ ตัณหา จะเข้าใจได้โดยง่ายผู้ที่พยายามจะยึดครองหรือเปลี่ยนแปลงโลกตามอำนาจทะยานอยากของตัณหาจึงต้องกลับกลายเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในท้ายที่สุดเพราะความที่ไม่เข้าใจว่า โลกสามารถรักษาสมดุลของมันได้เองและ คนมีหน้าที่เพียงปรับตัวให้เข้ากับสมดุลของโลก มิใช่การคิดยึดครองหรือเปลี่ยนแปลงโลก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Welcome

ธรรมสามัคคี

SocialTwist Tell-a-Friend

AddThis

Bookmark and Share

มิตรภาพไร้พรมแดน

สถิติผู้มาเยี่ยมเยือน

ผู้ติดตาม