วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันนี้วันพระ : ธรรมะจากท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร : อย่าประมาท



สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ


อย่าประมาท

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)

แสดง ณ วัดอโศการาม ๔ ตุลาคม ๒๕๐๓
จากหนังสือ "ท่านพ่อลี ธัมมธโร"
ชมรมพุทธศาสน์ กฟผ. พิมพ์เผยแพร่


การที่พวกเราได้มาสับสร้างความดีกันได้เช่นนี้ ก็อย่าลืม มันอาจที่จะให้ผลแก่เราได้ อย่าประมาทว่าผลเล็กน้อยที่เราทำมานี้ จะไม่ได้ผลอะไรมากมาย อย่าประมาท อย่างพระพุทธเจ้าท่านได้ทรงสอนไว้ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุสามเณรหรือญาติโยมบางคน เวลาบวช มาศึกษาปฏิบัติก็ตัดกิเลสของตนไม่ขาด พอทำกิเลสของคนให้เบาบางเล็กน้อยล งไปบ้างเท่านั้น ใจก็ท้อถอย ไม่สามารถทรงเพศบรรพชิต อยู่ในศาสนาได้ ก็สึก เมื่อสึกไป ก็ไปประกอบกิจการงานต่างๆ ที่เกี่ยวถึงอาชีพ เมื่อประกอบกิจการต่างๆ บางคราวก็สุจริต บางคราวก็ทุจริตเมื่อได้ทำความชั่ว ทุจริตเกิดขึ้น ก็ได้รับทัณฑ์โทษทางบ้านเมือง เมื่อได้รับโทษ ก็ถูกจับถูกกุมถูกคุมขัง


ตัวอย่าง เช่น ลูกศิษย์พระสารีบุตร มาบวชบำเพ็ญคุณงามความดี ก็ไม่ได้อย่างนึกเลยสึกไป เมื่อสึกไปก็ไปประพฤติตัวเป็นโจร เมื่อประพฤติตัวเป็นโจรเป็นขโมย ก็ถูกจับกุมลงโทษถึงประหารชีวิต ก่อนที่จะประหารชีวิตนั้น เขาก็เอาโจรคนนั้นไปทรมานอยู่ ๗ วัน วันหนึ่งนั้นได้ทรมานร่างกายให้ประชาชนได้เห็นมาชม เพื่อเป็นเครื่องปราบคนร้าย ส่งอำมาตย์ให้ทำหลาวไม้รวกหลาวเหล็ก ทำปลายอย่างแหลมคมกล้า แล้วเขาก็รัดไว้เป็นแถวเป็นแนว เสร็จแล้วจึงจับโจรนั้นขึ้นไปนอนขึ้นไปนั่ง ให้หลาวนั้นเสียบแทงอวัยวะร่างกาย ให้เลือดไหลอาบตัวอยู่ ได้รับความทุกข์อย่างสาหัส วันหนึ่งทำตอนเช้า แล้วก็ทำตอนเที่ยง ทำตอนเย็น ป่าวร้องประชาชนพลเมืองมาดูตัวอย่างผู้ประพฤติตนไม่ดี ต้องถูกทรมานตนอย่างนี้ โจรคนนี้แกก็ได้ถูกทรมานตัวอย่างเข็มงวดแข็งแรง และถูกทรมานอยู่อย่างนี้จนกว่าจะถึง ๗ วัน เมื่อทรมานครบเจ็ดวันแล้ว ก็จะเอาตัวไปประหารชีวิตคือตัดศีรษะให้ตาย


อยู่มาวันหนึ่ง ด้วยอำนาจวาสนาซึ่งเคยได้ไปศึกษาอบรมอยู่กับพระสารีบุตร คือเมื่อตอนไปบวชอยู่กับพระสารีบุตร ท่านก็แนะนำให้ประพฤติธุดงควัตรแล้วก็สอนสมณธรรมให้ ได้บำเพ็ญอบรมจิตใจบำเพ็ญคุณงามความดีของคนนั้นได้แก่ปฐมฌาน แต่ปฐมฌานนั้น มันยังไม่สามารถต้านทานกิเลสตัณหาให้ขาดไปได้ จึงได้ลาเพศไปเป็นคฤหัสถ์


ใน วันที่ ๖ อำนาจบุญวาสนาของท่านพระสารีบุตร ซึ่งเป็นผู้มีเมตตา ได้ช่วยเยียวยาสั่งสอนประชาชนทำกิจศาสนาแทนพระพุทธเจ้า ท่านก็ได้เล็งญาณทัศนะการดูหมู่คณะสานุศิษย์ ว่าบวชแล้วยังอยู่ไหนบ้าง สึกแล้วไปอยู่ไหนบ้าง ไปประกอบอาชีพกิจการงานต่าง ๆ อยู่ไหนบ้าง และด้วยบารมีที่ได้สะสมร่วมกับท่านมา ก็ได้ปรากฏแสงสว่าง แลเห็นลูกศิษย์คนนั้นกำลังถูกทรมานอยู่อย่างสาหัส แล้วเขาก็จะตัดศีรษะประหารชีวิตในวันพรุ่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ พิจารณาเห็นอำนาจบารมีของเขาที่ได้บำเพ็ญไว้ ยังมีเป็นนิสัยอยู่ แต่มันเสื่อมไปหมด แม้กระนั้น ความดีที่ทำไว้แล้ว มันก็ยังฝังอยู่ในนั้นแหละถึงมีกิเลสหุ้มห่อดวงจิตไว้ ความดีก็ยังอยู่


เมื่อ ท่านรู้อย่างนี้ ท่านก็ไปบิณฑบาต เมื่อไปบิณฑบาตในเวลาตอนเช้า นายโจรกำลังนอนอยู่บนหลาวเหล็กและหลาวไม้รวก พระสารีบุตรก็ผ่านไปใกล้ๆ คนก็แตกตื่น บางคนก็ตื่นกันไปดูพระสารีบุตร บางคนก็ตื่นกันไปดูโจรที่ถูกทรมาน พอดีแหวกช่องให้ลูกศิษย์คนนั้นเห็น พระสารีบุตร เห็นชายจีวรเท่านั้นแหละ พระสารีบุตรท่านก็แผ่เมตตาจิต ด้วยอำนาจเมตตาจิตของท่านนั้น ก็กระเทือนถึง เป็นเครื่องยืนยัน แต่เข้าไปใกล้ไม่ได้


เมื่อลูกศิษย์คนนั้นได้เห็นพ ระสารีบุตรก็เกิดความดีใจ นึกในใจว่า วันพรุ่งนี้จะต้องลาอาจารย์ คือจะต้องถูกประหารชีวิต ก่อนที่จะลาอาจารย์นั้น ก็นึกถึงการกราบการไหว้ การทำสักการะบูชาและก็คำนึงถึงคำภาวนาที่อาจารย์สอนให้ แกก็ได้เจริญฌาน ทำจิตให้สงบ เป็นสมาธิ เมื่อทำจิตให้สงบ ก็ได้ระลึกถึงความตาย ว่าเอาเราแน่ละ ไม่ต้องสงสัย เป็นมรณานุสสติ แล้วก็ค้นคิดเข้ามาว่า เขาตายกันอยู่ที่ไหน ความตายมันอยู่ที่ไหนกัน ก็ปรากฏว่า ความตายมันมาอยู่ที่ปลายจมูก ถ้าลมดับ เสร็จ ตายเป็นแน่ ถ้าลมหายใจยังอยู่ ถึงแม้จะถูกทรมานอย่างแสนสาหัสก็ไม่ตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็บำเพ็ญอานาปาน์ มาจำเริญกำหนดลมหายใจ เมื่อจิตเข้าไปจับลมเท่านี้แหละ ไอ้เจ้าลมก็หยุด โลหิตนั้นก็หยุดไหลทันที เมื่อโลหิตหยุดไหล เนื้อหนังที่ขาดเป็นช่อง มันก็ติดกันหมด
เมื่อเห็นแผลปิดเช่นนั้น ก็เกิดปีติ ดีอกดีใจว่าเราได้ภาวนากระทำจิตถึงกับระงับทุกขเวทนาได้ถึงขนาดนี้ ก็ตั้งใจพิจารณาส่วนต่างๆ ของร่างกาย พิจารณาเกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ทวนกลับไปกลับมา ในที่สุดส่วนอวัยวะที่ขาดฉีกกลับติดต่อกันได้หมด ทีนี้เมื่ออวัยวะเกิดกำลังกล้าก็สามารถนั่งขัดสมาธิบนหลาวเหล็กและหลาวไม้ รวกเมื่อขึ้นไปนั่งสมาธิบนหลาวเหล็กและหลาวไม้รวกได้เช่นนั้น ขั้นสมาธิสองชั้น แล้วก็บำเพ็ญฌานเจริญฌานที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม จนถึงที่สี่ เมื่อได้ถึงฌานที่สี่ ร่างกายนั้นก็เบาเหมือนปุยนุ่นแข็งกว่าหลาวเหล็ก แข็งกว่าหลาวไม้รวก หลาวแหลมนั้น ทิ่มแทงกายลูกศิษย์ของพระสารีบุตรนั้นไม่ได้อีกเลย


ใน ที่สุดโจรคนนั้นก็ได้นั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอัปปนาฌาน ตั้งอธิษฐานจิตว่าเราจะไปอยู่กับอาจารย์ ถ้าเรารอดตัวครั้งนี้ แล้วก็บำเพ็ญฌานที่สี่ได้สำเร็จดี มีองค์อยู่สองอย่างคือจิตเป็นเอ กัคคตารมณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งหมด สัญญาที่เขาจะฆ่าไม่มี กับไปไหนไม่ทราบ วางหมด และเป็นผู้มีสติสว่างไสว แล้วก็มองเห็นอาจารย์ อาจารย์ไปอยู่ที่ไหนก็มองเห็นด้วยอำนาจแสงสว่าง ในที่สุดก็อธิษฐานจิตว่า เราจะไปอยู่กับอาจารย์ เมื่ออธิษฐานจิตอย่างนี้ ร่างกายก็ลอยเหาะไปในอากาศ เมื่อเหาะไปในอากาศ ก็ไปหาอาจารย์ เมื่อไปอยู่กับอาจารย์ก็ให้คำรับรองปฏิญาณตนว่าจะไม่ทำบาปอกุศลอย่างนี้อีก ต่อไป ก็ได้บำเพ็ญวิสัยสืบต่อก็รอดตัวแต่ยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพ รอดตัวแค่กันตายในชาตินั้นเพียงเท่านั้น


นี่ แสดงถึงเรื่องความดีที่ได้บำเพ็ญกันมานั้น แม้เมื่อมันยังไม่เกิดสม ใจของเราในขณะนั้นก็ตาม ก็อย่าประมาท คือความดีนิดๆ หน่อยๆ นั้น มันเหมือนกับไฟ ไฟนั้นอย่าไปประมาท เพียงไม้ขีดลูกเดียวเท่านั้น มันสามารถสังหารผลาญบ้านเมืองให้ย่อยยับได้ นี่ความดีมันมีอำนาจ เหตุนี้พระองค์จึงได้สั่งสอนพวกเรา มิให้ประมาท ความดีที่ได้สร้างมา ถึงแม้จะเล็กน้อยก็ตามย่อมมีอำนาจสามารถจะช่วยป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ ผ่อนหนักผ่อนเบาให้ปลอดภัยนี่ประการหนึ่ง

อีกนัยหนึ่ง เรื่องของคนเรานั้นก็มาก นิสัยคนบาปคนนั้นเหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้บางชนิด เช่นต้นฟักทอง หรือลูกฟัก เมื่อเราไปปลูกฝังไว้ยังพื้นแผ่นดิน เราก็อยากกินลูกเร็วๆ อยากกินผลเร็วๆ มันก็หาเป็นอย่างความคิดนึกของเราไม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี ธรรมชาติความดีที่ได้ปลูกสร้างลงไป มันก็ค่อยเจริญขึ้นทีละนิดๆ เมื่อมันเจริญขึ้นแล้ว นานเข้าก็ย่อมออกผลให้เป็นธรรมดา แต่เราไปนั่งสังเกตดูซิว่ามันยาว ขึ้นวันหนึ่ง นาทีหนึ่ง ยอดมันยาวขึ้นประมาณสักกี่เซนต์ ให้ไปเขียนดูชิ เขียนไม่ได้ ยอดฟักทองน่ะ มันงอกออกมาวันหนึ่งได้เท่าไร เขียนได้ไหมเล่า เขียนไม่ได้ แต่เราเชื่อไหมว่า มันต้องงอกขึ้นทุกวัน ถ้ามันไม่เป็นจริงอย่างนั้นแล้วมันจะยาวขึ้นได้ยังไง นี่ฉันใดก็ดี ความดีของพวกเรา เราจะสับสร้างได้มากน้อยเพียงไรก็ตามถึงเราจะมองไม่เห็นผลก็ตาม แต่มันก็ได้ เราบอกไม่ได้ว่าเราดีเท่านั้นๆ เราก็บอกไม่ได้ วันหนึ่งเราได้ทำดี บอกได้ แต่ไอ้ความดีที่มันเกิดขึ้นจากการทำ มากน้อยเท่าไร บอกไม่ได้ ถามว่าได้ผลหรือเปล่า ได้ซี เหมือนยอดฟักทอง แต่เขียนบอกไม่ได้ว่าเกิดมาวันหนึ่งๆ ได้เท่าไร ไม่รู้ว่ามันเกิดมายาวเท่าไร แต่มันยาวออกมาไหมล่ะ ตอบว่าต้องยาว ฉันใดก็ดี คุณงามความดีทั้งหมด ซึ่งมันเกิดขึ้น ไม่เป็นอย่างเราต้องการ ก็อย่าประมาท นี้ข้อหนึ่ง

ข้อที่สองนั้น นิสัยของผู้ปฏิบัติ บางท่านหรือบางจำพวกมันเหมือนต้นกล้วยคือธรรมดาต้นกล้วยนั้น เมื่อเราไปตัดต้นของมันขาดเสีย ในชั่วเวลาสักชั่วโมงเดียว ถ้าเราไปดูจะแลเห็นว่ายอดกล้วยนั่นมันโผล่ออกมาได้ตั้งนิ้ว ถ้าสองสามวันก็ขึ้นมาตั้งศอกตั้งแขน นั่นเห็นเร็ว นี่จำพวกหนึ่ง พวกเขาก็เหมือนกัน บางผู้บางคน การปฏิบัติคุณงามความดีเห็นผลเร็ว เกิดโลดโผนสามารถหลายท่าหลายทาง ตัวอย่างสามารถทำฌานของตนให้เกิดขึ้นได้ สามารถที่จะชี้แจงอรรถาธิบายในข้อธรรมะ ที่มันเกิดขึ้นกับตนให้คนอื่นฟังได้ชัดเจน นี่บางท่านเป็นอย่างนี้



ใน สมัยครั้งพุทธกาลก็เหมือนกัน เช่น พระจูฬบันถกบำเพ็ญคุณงามความดีมานาน แต่เวลามาเจริญกรรมฐานด้วยความเหยียดหยามของบุคคลผู้อื่น ปฏิบัติด้วยความแค้นใจเท่านั้น ได้ผลเลยคือ สมัยครั้งหนึ่งได้อยู่กับหมู่คณะตั้ง ๕๐๐ องค์ วันหนึ่งเศรษฐีมานิมนต์ไปฉันอาหารบิณฑบาตในบ้าน ส่วนพี่ชาย พระมหาบันถกนั้น เป็นภัคตุทเทศก์ เมื่อใครมานิมนต์พี่ชายเป็นผู้จัดการที่จะนิมนต์พระไปในภัตตกิจใน

วัน นั้น พระมหาบันถกพี่ชาย เห็นว่าพระจูฬบันถกนั้นขี้เกียจบำเพ็ญ กรรมฐาน ก็ได้แต่สัปหงก มีถีนมิทธะครอบงำจิตใจ อย่าเอาไปกินข้าวในบ้านเขาเลย เลยไม่นิมนต์พระจูฬบันถก นิมนต์แต่พระองค์อื่น ๆ ไป ๔๙๙ รูป มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ไปในงานถวายท่านของเศรษฐี เมื่อไปถึงบ้านเศรษฐีๆ ก็จัดอาหารถวายพระครบหมด แต่อาหารเหลืออยู่ถาดหนึ่ง เศรษฐีก็ถามว่า ทำไมพระขาดห้าร้อย มหาบันถกก็บอกว่า พระจูฬบันถกไม่ได้นิมนต์มา ทีนี้เศรษฐีก็ไต่ถามพระพุทธเจ้าๆ ก็รับสั่งว่า พระจูฬบันถกเป็นคนสำคัญ บัดนี้ เศรษฐีต้องไปนิมนต์ ท่านเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง

ส่วนทางพระจูฬ บันถกแค้นใจ เขาเหยียดหยามย่ำยี วันนี้ตั้งอกตั้งใจจะไม่กินข้าว นั่งสมาธิบำเพ็ญฌาน บรรลุถึงฌานที่สี่ จนดวงจิตตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยก้าวหน้าถึงขนาดนั้น เมื่อได้ฌานที่สี่แล้ว ก็เข้าฌานที่ห้า ทำจิตสว่างไสว เบิกบานแจ่มใส เกิดกำลังกาย เกิดกำลังจิต พอดีคนของเศรษฐีนั้นเข้ามานิมนต์ ในตอนนี้ พระพุทธเจ้าอยากแสดงให้เศรษฐีเห็น อำนาจ ไม่บอกวิธีนิมนต์ ให้ไปรู้เองเสียก่อน จึงจะค่อยพูด ส่วนทางพระจูฬบันถกก็อธิษฐานจิต เมื่ออธิษฐานจิต พระเต็มวัดหมด ไม่รู้มาจากไหนกัน เกลื่อนกล่นไปหมด บางองค์ก็นั่งสมาธิ บางองค์ก็เดินจงกรม บางองค์ก็ซักจีวรวุ่นวายกันไปทั้งวัด ทีนี้คนไปนิมนต์ถามว่า พระจูฬบันถกอยู่ที่ไหน ท่านก็ชี้มือบอกไปข้างหน้า ว่าอยู่ทางโน้น ไปถามองค์โน้น ก็บอกต่อๆ ไป ถามไปจนหมด ไม่ใช่จูฬบันถกสักองค์ ถามไปองค์โน้นๆ ก็ชี้ไปทางนี้ ถามองค์นี้ๆ ก็ชี้ไปทางโน้นให้ยุ่งกันไปจนหมดเวลาฉันอาหาร ในที่สุดไม่ได้ ก็วิ่งกลับไปในบ้านอีก

เมื่อเข้าไปในบ้าน ทีนี้พระพุทธเจ้าทราบว่าพระจูฬบันถกนั้นเป็นคนแก่กล้า สามารถที่จะแสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่เขาได้ ก็จะได้หายจากการดูถูกเหยียดหยามย่ำยี พระองค์จึงทรงชี้แจงว่าให้ไปนิมนต์ใหม่ นิมนต์คือทำยังไงเมื่อไปนิมนต์ละ ก็ ถามท่านว่า องค์ไหนเป็นจูฬบันถก เวลาท่านอ้าปาก เปิดปากที่จะบอก ให้รีบจับคว้าแขนทันที อย่าให้ท่านบอกได้ ทีนี้ก็ได้การละซี ก็ไปที่วัด ที่มีพระมากเต็มหมด ทีนี้ก็ไปถาม ว่าองค์ไหนคือพระจูฬบันถก พอท่านจะชี้บอกก็คว้าแขน จับแขนปั๊บเดียวเท่านั้นแหละพระทั้งหลายหายหมด เหลือพระองค์เดียวที่จับแขนอยู่เท่านั้น ทีนี้ก็ได้นิมนต์ไปฉันอาหารบิณฑบาต ในบ้านของเศรษฐี


แต่นั้น พระจูฬบันถกก็เด่นในวงการของคณะ เป็นผู้สามารถทำการอย่างโลดโผน ห้อยโหนโยนตัว สามารถตากแดดไม่ต้องร้อน สามารถตากฝนไม่ต้องเปียก ทางไกลๆ สามารถที่จะไปให้ได้ถึงเร็ว มีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ ตัวท่านองค์เดียวอยู่ที่นี้ สามารถให้ไปปรากฏได้ที่ป่าช้า ปรากฏที่อื่นๆ ทำได้ด้วยวิธีหลายอย่าง พระจูฬบันถกก็กลายหายไปจากความแค้นที่หมู่คณะเหยียดหยาม เลยเป็นคนเด่นโลดโผนตั้งแต่นั้นต่อมา นี่อำนาจคุณงามความดีนั้น บาลีท่านก็โลดโผนเร็ว แตกฉานกว้างขวาง แก่ด้วยสมถะ แก่ด้วยวาสนา สามารถที่จะโลดโผนและก้าวไปสู่พระนิพพานได้ในชาตินั้น นี่เรื่องความดีที่ได้อบรมทำมานั้น เป็นบารมีธรรมทั้งสิ้น ฉะนั้นควรที่จะต้องพากันมีความภูมิใจในการกุศลนี้


อีกเรื่อง หนึ่ง ยังมีเทพยดาองค์หนึ่ง แต่ก่อนเป็นผู้หญิง ในสมัยครั้งหนึ่งแกไปวัดไปเห็นมันรกในทางจงกรมของพระ แกก็ไปเขี่ยขี้ฝอยในทางจงกรมนั้น เพื่อให้ความสะดวกในการเดินจงกรม ของพระ ครั้งเดียวเท่านั้น แต่แกทำด้วยความรัก แกทำด้วยความเชื่อ ทำด้วยความนับถือ ทำด้วยความบริสุทธิ์จิต เพราะของที่รกรุงรังสกปรกนั้น ยังความเศร้าใจให้เกิดขึ้นท่านเห็นเป็นเช่นนี้จึงได้เก็บขี้ฝอยออกจากที่ทาง แล้วก็หาน้ำล้างเท้ามาไว้ในที่นั้น เก็บขี้ฝอยขี้เศษต่างๆ รกรุงรังออกหมด แกก็รู้สึกว่า ใจสบายผ่องแผ้ว กลับไปบ้าน


บังเอิญไปเกิดเป็น ลมตาย ตายจากโลกนี้ก็ไปเกิดเป็นเทวดา มีบริษัทบริวาร มีอาหารทิพย์ มีปราสาท มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมากมาย เมื่อไปอยู่ที่นั้น ระลึกชาติได้ เมื่อระลึกชาติได้อย่างนี้ ก็นึกในใจว่า ถ้าเราทำบุญมากๆ ก็จะได้ดีมากกว่านี้ จะขอไปทำความดีอีกสักหน่อยเถอะ เพื่อให้มันยิ่งกว่าที่ได้ผลอยู่ขณะนี้ แต่ก่อนไม่ยักรู้ว่ามันจะได้รับผลอย่างนี้


ก็ได้ลงมาจาก สวรรค์ ไปเที่ยวหาพระอยู่ตามป่าตามพง พอไปเห็นพระองค์หนึ่งท่านกำลังเข้าสมาธิ ฝ่ายเทวดาก็มายืนจ้อง คอยปฏิบัติอุปัฏฐากพระ ท่านเลยตะเพิดไป "เทวดา ทำไมมาแย่งบุญมนุษย์ แต่ก่อนนี้มันประมาท เมื่อไปเสวยผล ได้รับผลดีแล้ว ยังจะอยากโลภมาก ไม่เอา ไม่ให้ท่านให้มนุษย์เขามาทำ คนที่ยังไม่ได้รับความดีอย่างแกนั้นยังมีอยู่อีกมาก ไม่ต้องมาแย่งเขา" เปิดเลย เทวดานั้นขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ ก็ได้ผลแค่นั้น บุญใหม่ควรทำต่อ เขาไม่ให้ทำ
นี่เพราะเหตุ ใด เพราะเหตุว่า คนเราประมาทในบุญเล็กน้อย เมื่อตายไปแล้ว จะมาทำบุญกุศลน่ะ มันยากนัก ยากยังไง กายก็ไม่เหมือนกายมนุษย์ จะมาพูดกับมนุษย์ก็ไม่ได้ จะมาใส่บาตรทำบุญก็ไม่ได้ อย่างดีก็เพียงมายืนคอยอนุโมทนาเท่านั้น ถ้าใครตาดีก็เห็น ใครตาไม่ดีก็ไม่พบพาน ถ้าใครมีภูมิรู้ในทางจิต ก็พอจะแนะนำสั่งสอนกันบ้าง ถ้าไม่มีคนเช่นนั้น เทวดาก็ไม่มีหนทางที่จะบำเพ็ญคุณงามความดีต่อได้เลย นี่มันเป็นอย่างนี้


ฉะนั้น จึงอย่าพากันประมาท เมื่อเรามีโอกาสและเวลา คุณงามความดีใดๆ ในโลกพอจะสามารถและมองเห็น เราก็ควรจะต้องรีบขวนขวาย พยายามทำความดีนั้นเสียโดยเร็ว ถ้าความตายเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เราจะไปเอาอะไร ไม่มีอะไรสักอย่าง อย่างดีที่สุดก็จะได้แค่ห่อข้าวตากของตนที่ทำไว้แล้วนั่นแหละ คือความดีที่เราสับสร้างมาแต่ก่อน แล้วก็มาระลึกขึ้นความดีนั้นก็จะไปช่วยบำรุงน้ำใจของเรา อำนวยผลให้บุคคลผู้นั้นไปในทางสุคติ โลกสวรรค์ถ้าใครได้มีนิสัย ได้อบรมในทางจิต หรือในทางสมาธิให้แก่กล้าก็สามารถบำเพ็ญให้ตนพ้นไปจากโลกียวิสัย ทำใจของตนให้ก้าวขึ้นไปสู่โลกุตรธรรมได้


นี่ฉะนั้น พวกเราที่ยังไม่เกิดความดีอย่างสมใจนึกก็ดี อย่าประมาท ผู้ทำความดีได้ยังไม่สมใจอย่างนึกก็อย่าประมาท ก็ควรจะถือว่าสิ่งที่เราทำลงไปนั้น เป็นทรัพย์ของเรา ทรัพย์ของเรานี้ เป็นเครื่องป้องกันชีวิตของเรามิให้ตกไปในฝ่ายต่ำ แม้อยู่ในโลกนี้เราก็อาศัยความดีคือธรรมะนี้ เป็นผู้บงการชีวิต ถ้าเราดับจิตไปจากโลกนี้ ความดีก็จะต้องติดตามตนไปเหมือนกับเงาของบุคคลย่อมตามตนไปทุกเมื่อฉะนั้น


นี่ กล่าวถึงเรื่องความดี ซึ่งพวกเราได้พากันสับสร้างคุณงามความดี ร่วมใจกันในที่นี้ก็จงพากันถือคติที่ได้เตือนใจมานี้ เป็นเครื่องระลึก เป็นธรรมานุสสติภาวนากันต่อไป

ขอให้มีความสุขความเจริญในธรรมเทอญ



Welcome

ธรรมสามัคคี

SocialTwist Tell-a-Friend

AddThis

Bookmark and Share

มิตรภาพไร้พรมแดน

สถิติผู้มาเยี่ยมเยือน

ผู้ติดตาม