วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีแก้ไขกามฉันทะ

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ





2.3.1 ตามคัมภีร์


ในอรรถกถา พระไตรปิฎกได้กล่าวถึงการละกามฉันทะ ด้วยวิธีการ 6 ประการ คือ

1. การเรียนอสุภนิมิต

2. การประกอบเนืองๆ ในอสุภภาวนา

3. ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์

4. ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ

5. ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร

6. การกล่าวถ้อยคำแต่ที่เป็นสัปปายะ



1. การเรียนอสุภนิมิต คือ ศึกษาความไม่งามในร่างกาย โดยพิจารณาให้เห็นความเป็นของน่าเกลียดในร่างกายของตนเองและคนอื่นว่า กายนี้ ตั้งแต่พื้นเท้าจนจดปลายผมเต็มไปด้วยของไม่สะอาด ปฏิกูล ไม่งามทั้งสิ้น

     แท้จริงร่างกายของคนเรานั้นเต็มไปด้วยของไม่สะอาดต่างๆ อยู่ภายใน และมีของไม่สะอาดไหลออกจากกายนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีทวารหรือช่องสำหรับถ่ายเทของไม่สะอาดออกจากร่างกายนี้อยู่ 9 ช่องคือ มีขี้ตาไหลออกจากตาทั้ง 2 มีขี้หูไหลออกจากหูทั้ง 2 มีน้ำมูกไหลออกจากกระพุ้งจมูกทั้ง 2 มีขี้ฟัน เลือดและอาเจียนไหลออกจากปาก มีปัสสาวะไหลออกจากทวารเบา มีอุจจาระไหลออกจากทวารหนัก นอกจากทวารทั้ง 9 นี้แล้วยังมีเหงื่อไหลออกจากรูขุมขนซึ่งท่านกล่าวว่ามีถึง 99,000 ขุม

ร่างกายนี้เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ และยังเต็มไปด้วยซากศพนานาชนิดที่มนุษย์รับประทานเข้าไป เช่น ศพเป็ด ศพไก่ ศพกุ้ง ศพปลา ศพวัว และศพควายเป็นต้น ซ้ำยังมีเชื้อโรคนานาชนิดอาศัยเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้จึงเป็นรังแห่งโรค

     ความไม่สะอาดในร่างกาย หากเราพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยปัญญา เราก็จะเห็นได้ชัดเจน เช่น ถ้าเจ้าของร่างกายไม่อาบน้ำเพียงวันเดียวโดยเฉพาะฤดูร้อนจะมีกลิ่น ยิ่ง ปล่อยไว้นานวันยิ่งเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น แม้เจ้าของกายเองก็ไม่ชอบใจ เมื่อพูดกันตามความจริงแล้ว กายนี้มองดูว่าสวยก็เพราะมีผิวหนังปิดไว้และเครื่องอาภรณ์ปกปิดไว้ต่างหาก ถ้าไม่มีเครื่องอาภรณ์หรือผิวหนังปกปิดไว้ก็จะสกปรกอย่างยิ่ง ไม่มีการแตก ต่างกันอะไรระหว่างร่างกายของพระราชาและคนจัณฑาล คือมีความสกปรกปฏิกูลน่าเกลียดเหมือนกันหมด ถ้าพิจารณาเห็นร่างกายว่าเป็นของไม่งามอย่างนี้จัดเป็นอสุภนิมิตก็จะทำให้ กามฉันทะสงบลงได้

2. การประกอบเนืองๆ ในอสุภภาวนา คือ หมั่นเจริญอสุภะบ่อยๆ นึกถึงความน่าเกลียด และความสกปรกในร่างกายบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย และไม่เกิดความยินดีในเรื่องเพศเรื่องกาม อันจะเป็นเครื่องขัดขวางใจไม่ให้สงบนิ่ง

3. อินทรีย์สังวร คือ การสำรวมระวังตนโดยอาศัยสติเป็นตัวกำกับ โดยอินทรีย์ในที่นี้หมายถึง ช่องทางที่ติดต่ออยู่กับภายนอก ซึ่งในตัวของคนเรานี้มีช่องทางติดต่อกับภายนอกอยู่ 6 ทาง คือ

1. ตา

2. หู

3. จมูก

4. ลิ้น

5. กาย

6. ใจ

ร่างกายก็เหมือนบ้านที่มีประตูหน้าต่างอยู่ 6 ช่องทาง สิ่งต่างๆ ภายนอกที่เราจะรับรู้ รับทราบก็มาจาก 6 ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ดีทำให้ใจของเราสงบผ่องใสก็มาจาก 6 ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ใจของเราฟุ้งซ่าน ขุ่นมัว ก็มาจาก 6 ทางนี้เหมือนกัน ช่องทางทั้ง 6 นี้ นับว่ามีความสำคัญมาก เราจึงควรมารู้จักถึงธรรมชาติของช่องทางทั้ง 6 นี้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบช่องทางทั้ง 6 ไว้ดังนี้

1. ตาคนเรานี้เหมือนงู คือชอบที่ลับๆ อะไรที่เขาปกปิดเอาไว้ ชอบดู ยิ่งปกปิดยิ่งอยากดู แต่อะไรที่เปิดเผยออกแล้วไม่ลับแล้ว ความอยากดูกลับลดลง

2. หูคนเรานี้เหมือนจระเข้ คือชอบที่เย็นๆ อยากฟังคำพูดเย็นๆ ที่เขาชมตัว หรือคำพูดเพราะๆ ที่เขาพูดกับเรา

3. จมูกคนเรานี้เหมือนนกในกรง คือชอบดิ้นรน พอได้กลิ่นอะไรหน่อย ก็ตามดมทีเดียว ว่ามาจากไหน

4. ลิ้นคนเรานี้เหมือนสุนัขบ้า คือบ้าน้ำลาย ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร ขอให้ได้นินทาชาวบ้านละก็ชอบ

5. กายคนเรานี้เหมือนสุนัขจิ้งจอก คือชอบที่อุ่นๆ ที่นุ่มๆ ชอบซุก เดี๋ยวจะไปซุกตักคนโน้น เดี๋ยวจะไปซุกตักคนนี้ ชอบอิงคนโน้น ชอบจับคนนี้

6. ใจคนเรานี้เหมือนลิง คือชอบซน คิดโน่น คิดนี่ ประเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านถึงเรื่องในอดีต ประเดี๋ยวก็สร้างวิมานในอากาศถึงเรื่องในอนาคต ไม่ยอมอยู่นิ่ง ไม่ยอมสงบ

    อินทรีย์สังวร ก็คือ สำรวมระวังช่องทางทั้ง 6 เพราะเรารู้ถึงธรรมชาติของช่องทางนี้แล้วก็ต้องคอยระวังใช้สติเข้าช่วยกำกับ อะไรที่ไม่ควรดูก็อย่าไปดู อะไรที่ไม่ควรฟังก็อย่าไปฟัง อะไรที่ไม่ควรดมก็อย่าไปดมอะไรที่ไม่ควรลิ้มชิมรสก็อย่าไปชิม อะไรที่ไม่ควรสัมผัสก็อย่าไปสัมผัส อะไรที่ไม่ควรคิดก็อย่าไปคิด หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรดูเข้าแล้ว ก็ให้จบแค่เห็น ไม่คิดปรุงแต่งต่อว่าสวยจริงนะหล่อจริงนะ ต้องไม่นึกถึงโดยนิมิต หมายถึงเห็นว่าสวยไปทั้งตัว เช่น คนนี้สวยจริงๆ ต้องไม่นึกถึงโดย อนุพยัญชนะ หมายถึง เห็นว่าส่วนใดส่วนหนึ่งสวย เช่น ตาสวย ปากสวย หรือแขนสวย ขาสวย เป็นต้น

อินทรีย์สังวรนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราสู้กับกิเลสชนะหรือแพ้ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเรามีอินทรีย์สังวรดีแล้ว โอกาสที่กิเลสจะรุกรานเราก็ยาก คุณธรรมต่างๆ ที่เราตั้งใจรักษาไว้ก็จะสามารถทำได้ อย่างที่ตั้งใจ เหมือนบ้าน ถ้าเราใส่กุญแจ ดูแลประตูหน้าต่างอย่างดีแล้ว ถึงแม้ตามลิ้นชักตามตู้จะไม่ได้ใส่กุญแจก็ย่อมปลอดภัย โจรมาเอาไปไม่ได้ แต่ถ้าเราขาดการสำรวมอินทรีย์ไปดูในสิ่งที่ไม่ควรดู จับต้องสัมผัสในสิ่งที่ไม่ควรสัมผัส คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ฯลฯ แม้เราจะมีความตั้งใจรักษาคุณธรรมต่างๆ ดีเพียงไร ก็มีโอกาสพลาดได้มาก เหมือนบ้านที่ไม่ได้ปิดประตูหน้าต่าง แม้จะใส่กุญแจตู้ลิ้นชักดีเพียงไร ก็ย่อมไม่ปลอดภัย โจรสามารถมาลักไปได้ง่าย

ผู้มีอินทรีย์สังวรดี สมาธิย่อมเกิดได้ง่าย สมาธิจะตั้งมั่น ปัญญาก็เกิดขึ้น เป็นความสว่างภายในเห็นถึงสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เห็นถึงตัวกิเลสที่ซุกซ่อนอยู่ภายในและสามารถกำจัดไปให้หมดสิ้นได้

4. รู้ประมาณในโภชนะ อาหารที่กินเข้าไปก็มุ่งหวังเพื่อนำมาหล่อเลี้ยงอัตภาพร่างกายให้ได้ดำรงคง อยู่เป็นปกติ แต่การไม่รู้จักประมาณในการบริโภค เช่น บริโภคมากเกินไป นอกจากจะทำให้เกิดโทษ มีอาการอึดอัด ไม่สบายกาย หรือทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ แล้ว ยังเป็นเสบียงกาม ทำให้กามกำเริบได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแนะนำให้อุบาสก-อุบาสิกาผู้จะปฏิบัติธรรม ให้รักษาอุโบสถศีล หรือ ศีล 8 ซึ่งมีข้อหนึ่งที่ว่าด้วยการงดเว้นการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล หลังเที่ยงวันไป เพราะอาหารในเวลานั้น จะเป็นอาหารที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน เนื่องจากช่วงค่ำ มักเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อน อาหารนี้จึงถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไปสะสมเก็บไว้ ซึ่งพลังงานเหล่านี้ถ้าเราไม่ได้นำแปรเปลี่ยนเป็นกิจกรรม หรือการสร้างความดีต่างๆ ก็ย่อมจะเปลี่ยนเป็นพลังกามตามกระแสกิเลสที่อยู่ในใจของมนุษย์ ดังนั้น ท่านจึงแนะนำให้รู้จักการประมาณในการบริโภค ให้บริโภคแต่พอดี ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป

5. ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร คือ การเข้าหากัลยาณมิตร ที่ไม่ชอบพูดเรื่องเพศ เรื่องกาม เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือคุยเรื่องฟุ้งเฟ้อ เรื่องแต่งตัวสวยๆ งามๆ อันเป็นเหตุให้เราพลอยคิด พูด ทำ ไปเช่นเดียวกัน รวมทั้งหลีกห่างไกลจากแหล่งอบายมุข ผับ บาร์ อาบ อบ นวด สถานเริงรมย์ต่างๆ อันเป็นแหล่งมั่วสุมของสิ่งยัวยุกามให้เกิดขึ้น

6. การกล่าวถ้อยคำที่เป็นสัปปายะ คือ พูดคุยกันในเรื่องความไม่งามของร่างกาย ที่จะทำให้เห็นทุกข์โทษภัยของความทะยานอยากในกาม รวมถึงพิจารณาให้เห็นโทษภัยของกาม และควรพูดคุยกันในเรื่องที่จะทำให้มักน้อย สันโดษ ไม่ฟุ้งเฟ้อกับสิ่งต่างๆ ภายนอกตัว อันทำให้ใจครุ่นคิด ปรารถนา และคอยแสวงหา ซึ่งเมื่อคุยเช่นนั้นใจก็จะสงบนิ่ง มีความพึงพอใจ สุขใจในสิ่งที่ตนเองมี





ขอนอบน้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง"

ขอขอบคุณเจ้าของเรื่องและภาพมา ณ โอกาสนี้

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปฎิรูปใครก่อนหนอ?

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ



  
  ปฏิรูป                      ประเทศ                    พัฒนาไทย
คือธงชัย                     พลิ้วสะบัด                อยู่เบื้องหน้า
หากมุ่งมั่น                  จริงใจ                       หมายไขว่คว้า
พึงหาญกล้า               กำราบ                       กำจัดพาล



 ฏิรูป                     "นักการเมือง"            เป็นเบื้องต้น
ให้ล่วงพ้น                "นักกินเมือง"             เลื่องกล่าวขาน
 งาน"การเมือง "      " เพื่อ" การเมือง            อุดมการณ์"
ใช่เพื่อพราง              พร่าผลาญ                    แผ่นดินไทย
 
 ปฏิรูป                      "ข้าราชการ"                 กลไกรัฐ
 ปฏิบัติ                     "ราช-การ"                    งานยิ่งใหญ่
งาน"ในหลวง"        เพื่อปวงชน                   สุขกายใจ
ใช่งานสนอง            ตัณหาใคร                     ตามใจตน
 
 ฏิรูป                      "ประชาชน"                 เป็นรากฐาน
 สัดส่วนมาก             สูงสุด                            สัมฤทธิ์ผล
"อธิปไตย"..              เพื่อประโยชน์                ประชาชน
นักการเมือง              ร้อยเล่ห์กล                    ฤากล้ำกราย
 
กระบวนการ              ปฏิรูป                             ที่ร่ายเรียง
ล้วนเป็นเพียง           เเนวทาง                         ที่มาดหมาย
หาก "ธรรม"             มิครองใจ                        วาจา กาย
วาระสุดท้าย            ก็ล้มเหลว ..                     เลวต่อไป
 
เหตุไฉน                 "พุทธแท้"                       มิหยั่งจิต
"องค์กรสงฆ์"       เคยครุ่นคิด                       คลางแคลงไหม
สังคมไร้                 "คุณธรรม"..                   เพราะเหตุใด
น่า "ปฏิรูป"          องค์กรไหน                       นำร่องหนอ ?
 


ขอบคุณ พ.ต.ท. รุ่งโรจน์ เรืองฤทธิ์
บรรณาธิการ น.ส.พ. เราคิดอะไร คอลัมน์ ปิดท้าย
น.ส.พ.เราคิดอะไร ปีที่ 16 ฉบับที่ 241 เดือนสิงหาคม 2553

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักปุ่ม F บนคีย์บอร์ดกันดีกว่า‏

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ

หากพูดถึงปุ่มตระกูล F (Function) บนแป้นคีย์บอร์ด น่าจะเป็นปุ่มที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต้องพบเห็นบ่อยๆ และคุ้นเคยกันดี เนื่องจากมันถูกวางเรียงอยู่แถวบนสุดของคีย์บอร์ด แถมยังมีจำนวนมากตั้งแต่ F1 ไปจนถึง F12




  แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ปุ่มตระกูล F เหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรกันบ้าง เอาเป็นว่าเราลองมาทำความรู้จักคุณสมบัติเฉพาะตัวของปุ่มลัดเหล่านี้กันดี กว่า เพื่อว่าคราวต่อไปคุณจะได้ใช้ประโยชน์กับมันได้มากขึ้น
F1 - นี่คือปุ่มทางลัดเข้าสู่คู่มือช่วยเหลือ (Help) ของโปรแกรมต่างๆ และถ้าคุณกดปุ่ม Windows Key ตามด้วย F1 มันก็คือปุ่ม Help ของโปรแกรมไมโครซอฟท์นั่นเอง

F2 - ถ้าคุณกดปุ่มนี้ขณะอยู่บนจอเดสก์ท็อป มันคือการไฮไลต์โฟลเดอร์หรือไฟล์เพื่อเตรียมจะเปลี่ยนชื่อ และถ้าอยู่บนโปรแกรม Microsoft Word เมื่อคุณกดปุ่ม Ctrl + F2 มันคือการ Preview เอกสารก่อนพิมพ์

F3 - ปุ่มนี้ใช้เป็นทางลัดเข้าสู่ระบบ Search ของโปรแกรมต่างๆ

F4 - กดปุ่ม Alt + F4 คือการออกจากโปรแกรมที่กำลังใช้งาน

F5 - เมื่อกำลังท่องเว็บไซต์ กดปุ่มนี้คือการทำ Refresh หรือ Reload หน้าเว็บไซต์อีกครั้ง

F6 -
คือปุ่มที่ใช้เลื่อน Cursor ไปยัง Address Bar ขณะใช้งานเว็บเบราว์เซอร์

F7 - กดปุ่มนี้เมื่ออยู่ใน Microsoft Word คือการเรียกเช็กระบบตรวจสอบคำผิด

F8 - ปุ่มลัดใช้เรียก Start Menu เวลาอยู่ใน Safe Mode

F9 -
ปุ่มลัดเข้าสู่ระบบวัดระยะของโปรแกรม Quark 5.0

F10 - กดปุ่ม Shift + F10 คือการทำงานเสมือนคุณกำลังคลิกขวาที่เมาส์

F11 - กดปุ่มนี้เพื่อการเรียกดูเบราว์เซอร์แบบ Full Screen

F12 -
ใช้เป็นคำสั่ง Save as เมื่ออยู่ในโปรแกรม Microsoft Word

ที่มา : http://marsmag.net

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จงดูแล รักษา ความสามารถ

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ


จงดูแล รักษา ความสามารถ
รู้รักษา ความสะอาด ทางจิต
มุ่งชำระ มลทิน ทุกถิ่นทุกทิศ
สร้างชีวิต สะอาดใน-ใจเอย
*อาบน้ำชำระกาย
ล้างกิเลสชำระใจ
   

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

กำแพงหัวใจ

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ




ผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆน่ารักหลังหนึ่งริมทะเล

เธออยู่กับสามีของเธอ บ้านหลังนี้มีหน้าต่างอยู่บ้าง แต่ด้านที่หันเข้าหา
ทะเลกลับไม่มีหน้าต่างเลย มีแต่กำแพงเก่าๆหนาๆอันหนึ่งตั้งอยู่
ผู้หญิงคนนี้เคยเอ่ยขึ้นมาว่า
" ถ้าเราทลายกำแพงนี้แล้วสร้างเป็นหน้าต่าง ก็คงจะทำให้รับลมทะเลอันสดชื่นได้เยอะเลย "

แต่สามีของเธอบอกว่า
" บ้านหลังนี้เก่ามากแล้ว ถ้าเราทลายกำแพงอาจทำให้บ้านทั้งหลังพังลงมาก็ได้ " 
ผู้หญิงคนนั้นเชื่อฟังสามี และก็ได้แต่เก็บความคิดอันนั้นไว้ในใจ

เธอคิดว่าที่เขาพูดก็คงมีเหตุผลที่ดี บ้านที่เก่าแล้ว เราไม่ควรเปลี่ยนอะไรมาก วันหนึ่ง
สามีของเธอมาตายจากไปเธอต้องเผชิญหน้ากับการเป็นหม้าย การที่ต้องอยู่คนเดียวเธอไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิตใหม่นี้

ไม่กล้าที่จะทำอะไรเลยสักอย่าง เพราะเธอไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลง มันจะทำให้เธอต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

ถ้าเธอออกจากบ้าน ไปหางานทำ ไปสร้างสังคมใหม่ชีวิตของเธอจะพลิกผัน ไปเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้เธอจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ

ปล่อยให้วันคืนผ่านไปโหยหาอยากให้อดีต กลับคืนมา อยากให้วันคืนเดิมๆย้อนมา ทั้งๆที่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้

แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้น เธอมักจะฝัน

เธอฝันบ่อยๆว่าเธออยากจะทลายกำแพงฝั่งที่ติดทะเลนั้น

เธอเตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อม แต่ก็ลังเล ไม่กล้าที่จะทำเสียทีเพราะกลัวว่าบ้านจะพังลงมา และทุกครั้งที่เธอตื่นนอน
เธอก็จะมาด้อมๆมองๆที่กำแพง ใจหนึ่งก็อยากจะพังมันให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่อีกใจหนึ่งก็ยังนึกถึงคำที่สามีบอก
" บ้านมันเก่ามากแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก "

และในที่สุด เธอก็อดรนทนไม่ไหวเธอเล่าความฝันให้เพื่อนบ้านของเธอฟัง เพื่อนบ้านของเธอเป็นหนุ่มสาวนิสัยดีคู่หนึ่ง
เมื่อพวกเขาได้ฟังดังนั้น ก็ไม่รอช้า รีบคว้าอุปกรณ์ต่างๆแล้วมุ่งหน้ามาที่บ้านเธอ พวกเขาลงมือทลายกำแพงนั้นทันที
ในขณะที่หญิงเจ้าของบ้านพร่ำอุทานด้วยความหวาดกลัว
" ทำแบบนี้จะดีเหรอคะ "
" บ้านอาจจะพังลงมา! ก็ได้ "
" นี่ฉันกำลังปล่อยให้พวกคุณทำอะไรกันอยู่ ฉันบ้าไปแล้วรึเปล่า ? "


แต่เพื่อนบ้านผู้แสนดีของเธอก็ยังคงลงมือพังกำแพงต่อไปแล้วก็บอกกับเธออย่างอ่อนโยนว่า
" บ้านของคุณจะปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง "

และในที่สุดกำแพงนั้นก็พังทลายลงมาและบ้านของเธอก็ยังยืนหยัดอยู่อย่างสบายสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปก็คือ...
ลมเย็นๆแสนสดชื่นจากชายทะเลที่พัดเข้ามาในบ้านเธอได้ตลอดวันตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้ได้เข้าใจแล้วว่า
การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวขนาดนั้น บ้านของเธอ และตัวของเธอไม่ใช่สิ่งที่เก่าเกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งบ้านของเธอ และตัวของเธอเองเข้มแข็งพอที่จะรับสิ่งใหม่ๆ ถ้าเพียงเธอกล้าพอที่จะยอมให้สิ่งใหม่ๆนั้นเข้ามา

คุณล่ะ.............มีกำแพงแบบนี้อยู่ในชีวิตของคุณบ้างไหม ?
มีบางสิ่งบางอย่างรึเปล่า..........ที่ลึกๆในหัวใจเรียกร้องอยากจะทำ
แต่คุณก็ไม่ยอมทำเสียที เพราะมัวแต่คิดว่านั่นมันไม่ใช่ฉัน
ไม่ใช่ชีวิตแบบที่ฉันรู้จัก ไม่ใช่สิ่งที่ฉันวางแผนไว้ว่าจะทำ
คุณกลัวว่าเจ้าสิ่งใหม่ๆอันนั้นจะทำให้ชีวิตที่คุณสร้างมาดิบดีจะต้องพังทลายลง
คุณกลัวที่จะต้องออกจากความคุ้นเคยเก่าๆออกจากชีวิตแบบเดิมๆที่คุณรู้จักดีมาตลอด
ทลายกำแพงนั้นลงเถอะนะแล้วปล่อยให้ สายลมแห่งความสุขพัดเข้ามาในชีวิตของคุณ
" อย่าติดกับวันที่ดีเก่าๆ
อย่าอยู่กับความคุ้นเคยเก่าๆ
อย่าให้วันคืนที่ดีเก่าๆมันทำร้าย
เปิดดวงใจของเธอค้นหาสิ่งที่เธอนั้นคอยไขว่คว้า
ให้เวลารักษาและพาให้พบ....กับวันใหม่ " 

 


ขอบคุณข้อมูลจาก{นานาสาระ ธรรมะสวัสดี: ฉบับที่ 5966}

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตะลึง!น.ร.โหนสะลิงข้ามเขา ไปร.ร


สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ

เดลี่เมล์รายงานว่า เมื่อ 22 มี.ค. นักเรียนในย่านชนบทของโคลัมเบียเดินทางไปโรงเรียนด้วย วิธีที่น่าตื่นเต้นหวาดเสียวที่สุด โดยต้องนั่งในกระสอบผ้าที่มีตะขอเก่าๆ ขึ้นสนิม เกี่ยวไว้กับเส้นลวดสะลิงที่ขึงข้ามแม่น้ำและหุบ เขาเป็นระยะทาง 400 เมตร วิ่งฉิวด้วยความเร็วสูงถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่ตั้ง อยู่อีกฝั่ง หมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งอยู่ห่างจากกรุงโบโกตา ไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทาง 64 กิโลเมตร มี แม่น้ำและหุบเขาคั่น นักเรียนและชาวบ้านต้องอาศัยสะ ลิงโหนตัวในการเดินทางออกไปสู่โลกภายนอก โดยมีสายเคเบิล 12 เส้นขึงอยู่กับหุบเขาเพื่อเป็นเส้นทางคมนาคม ด.ญ.เดซี่ โมรา อายุ 9 ขวบ กับน้องชายวัย 5 ขวบ ต้องใช้วิธีโหนสะลิงนี้ไปเรียนหนังสือทุกวัน เช่น เดียวกับชาวบ้านจากหมู่บ้านเดียวกัน โดยการเดินทางที่ชวนหวาดเสียวนี้ นายอเล็กซานเดอร์ ฮัมโบลด์ นักสำรวจชาวเยอรมัน เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ทดลอง ทำตามเมื่อปีพ.ศ.2347

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

เรื่อง: เศรษฐกิจยุคพล.อ.เปรม

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ




เศรษฐกิจยุคพล.อ.เปรม
...ค่าแรง 80-120 บ/วัน แต่อาหารถูกมาก กับข้าวจานละ 2-3 บาท
...ค่าน้ำ ค่าไฟ สุดจะถูก เปิดแอร์นอนทั้งคืนสบาย!!
...ค่าน้ำมันสุดถูกลิตรละ 5-6 บาท
...ค่าเครื่องบินสุดถูก
...ค่าไปรษณีย์+ขนส่งสุดถูก
...ดอกเบี้ยไฟแนนซ์และสถาบั
นการ เงินต่างๆถูก ผ่อนรถ 2 ปีหมด
...ดอกเบี้ยธนาคารสุดถูก ผ่อนบ้าน 15 ปีหมด
...ค่าครองชีพถูกมาก ปชช.มีเงินออมเหลือเฟือ
...ค่าวัสดุก่อสร้างสุดถูก บ.รับเหมาก่อสร้างเริ่มบูม!!!!
...การทุจริตคอร์รัปชั่นแทบจะ บางเบา
...ไม่มีการละเมิดรัฐธรรมนู
...ไม่มีเรื่องการหมิ่นสถาบัน
...ปชช.ถูกสอนให้มีความซื่อสัตย์ ขยันทำกิน และใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ตามพระราชดำรัสของในหลวง
...ทุกภาคเหนือ อีสาน ใต้ ปชช.อยู่กันอย่างสงบสุขและผสมผสานขนบธรรมเนียมประเพณีกันอย่างลงตัว
...อัตราการเพิ่มขึ้นของคนชั้นก ลางมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


เศรษฐกิจยุคหลัง พล.อ.เปรม แต่ก่อนทักษิณมีอำนาจ
...พล.อ. ชาติชาย อยากให้ป๋าอยู่ต่อ แต่ป๋า บอกพอแล้ว
...พล.อ.ชาติชาย เข้ามา เศรษฐกิจก็ดีขึ้น เพราะท่านพล.อ.เปรม ทำไว้ดี
...พล.อ.ชาติชาย ชอบทุนนิยมแบบธรรมาภิบาล คือแข่งขันแบบเสรี ห้ามผูกขาด ห้ามค้ากำไรเกินควรเอาเปรียบผู้ บริโภค
...ห้ามต่างชาติเข้ามาถือหุ้นเกิน 25%
...แต่ถูกยึด อำนาจโดย รสช.!!!!!
ต่อมา....
...ทักษิณก็เข้าไปหากิน กับรสช. ได้สัมปทานเพิ่ม จนรวยอื้อซ่า!!!
...ผูกขาดสัมปทาน ค่าโทรศัพท์แพง (ทั่วเอเชียเขาถูกกันหมดแล้ว)
...ชวลิตประกาศลอยค่าเงินบาท ทักษิณได้ผลประโยชน์หลายหมื่นล้าน แต่ประเทศพังพินาศ
...ชวลิต้ IMF ต่อมา ปชป. (ชวน2)เข้ามาแก้ไข
...แต่ก็ไม่ค่อยสนใจความเป็นอ ยู่ของประชาชน เท่าที่ควร ทั้ง ปชป.และพรรคร่วม
...(เป็นเหตุให้ต้องเลือกทักษิณ เพราะคนเชื่อว่าทักษิณจะทำให้ค นจนหมดไป ตามที่พูด !!!)


เศรษฐกิจยุคทักษิณเรืองอำนา
...ทันทีที่เข้ามา ก็ขาย ปตท. ให้กลุ่มทุนของตัวเอง น้ำมันขึ้นทันทีลิตรละ 10-15 บาท ในเวลาอันรวดเร็ว
...เป็นเหตุให้ กฟผ. ปรับค่าไฟ(ค่าFT) เพราะ50%ต้องใช้ก๊าชธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า
...ค่าไฟมโหฬาร เปิดแอร์นอนทั้งคืนต้องคิดหนัก
...ขายสมบัติชาติ อื่นๆอีกเช่น การบินไทย สนามบิน ไปรษณีย์ องค์การโทรศัพท์ ฯลฯ ทำให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ
...สินค้าอปโภคบริโภคราคาสูงเว่อร์! เพราะต่างอ้างค่าขนส่ง(น้ำมัน) ที่เพิ่มขึ้น
...ภาคใต้แห่ไปเติมน้ำมันที่มาเล เซีย สุดถูกทั้งที่ไม่มีบ่อน้ำมั
...ผูกขาดกิจการโทรคมนาคม ขาดคู่แข่ง ค่าโทรศัพท์สุดแพง
...ค่าโทรศัพท์นาทีละ 5-8บาท ทั่วเอเชียเขาถูกกันหมดแล้ว
...ขายดาวเทียมให้ต่างชาติ จนเป็นภัยต่อความมั่นคง
...ผ่อนรถ 6 ปี ยังไม่หมดเลย สงสารเด็กจบใหม่ สมัยนี้จังเลย
...ดอกเบี้ยสุดแพง โอ้โห!!ผ่อนบ้าน 30 ปี ชั่วลูกชั่วหลานก็ยังไม่หมดเลย
...หนี้บัตรเครดิตทั้งในและนอก ระบบตรึม
...ค่าครองชีพสูงมาก แต่ค่าแรงเท่าเดิม (170-250) เงินออมแทบไม่เหลือ
...ปชช.ถูกมอมเมาด้วยหวยบนดินและ ความฟุ้งเฟ้อ
...คนชั้นกลางยากจนลง ขณะที่นายทุนและนักการเมืองรวยอื้อซ่า
...ทำอ้างตลาดหุ้นโต ,GDP โต นายทุนรวย แต่ปชช. ตาย เพราะไม่มีหุ้นอยู่เลย
...คนชั้นรากหญ้ายิ่งจนหนัก จนไม่มีโอกาสโตเป็นคนชั้นกลางได้ แน่นอน
...แก้กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ
...ให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 49% อีกครึ่งเป็นนอมินี
...หั่นราคาสินทรัพย์เหลือ 25% แล้วตั้งบ.SC Asเปรต ไปยึดทรัพย์จากกรมบังคับคดี
...คอรัปชั่นแบบบูรณาการ
...ละเมิดรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจ ของพ่อหลวง
...สถาบันหลักของชาติถูกสั่นคลอน
...บ้านเมืองวุ่นวายมากที่สุดใน รอบ 240 ปี


เศรษฐกิจยุคคมช.
...ยกเลิก พรก. ผูกขาด(สรรพสามิต)ของทักษิณ และยึด ITV คืนมาให้ ปชช.
...ค่าโทรถูกลง นาทีละ 2 บาท
...ที่เหลือย่ำแย่ เพราะระบอบทักษิณได้กลืนกินไปหมดแล้ว


เศรษฐกิจยุคอภิสิทธิ์
...AIS มีคู่แข่งเพียบ ค่าโทรสุดถูกนาทีละ 1.25
...ที่เหลือย่ำแย่ อภิสิทธิ์คงทำอะไรไม่ได้มาก เพราะระบอบทักษิณได้กลืนกินไปหมดแล้ว


...พี่น้องเสื้อแดงครับ ที่ท่านเรียกป๋าเปรม ว่าอำมาตย์นั้นนะ ถึงท่านจะไม่นิยมเทคโนโลยีทันสมัย แบบทักษิณ ไม่มีไอทีวีไว้โฆษณาเอไอเอสของ ตน ท่านบริหารประเทศแบบเผด็จการใช่ ไหมพี่น้อง ดูเผด็จการที่ท่านทำสิ!!!
...สั่ง ธนาคารและสถาบันการเงินห้ามขึ้น ดอกเบี้ย ปชช.
...ห้ามเอกชนค้ากำไรเกินควร เอาเปรียบ ปชช.
...สั่งห้าม แปรรูป ปตท. กฟผ.
...สั่ง ห้ามข้าราชการไปรับสินบนนายทุน
...ปลด. รมต. บางคนที่คิดจะเอา การท่าเรือฯ ไปขายให้นายทุนพรรค
...สั่งข้าราชการ ทำงานด้วยความซื้อสัตย์ สุจริต



พี่น้องเสื้อแดงครับเราเกิดบน แผ่นดินนี้ เรามีสิทธิอันชอบธรรมที่จะใช้ทรัพยากรบนแผ่นดินนี้ โดยเสมอภาคกันใช่ไหมครับ น้ำมัน ก๊าชธรรมชาติ แท่นขุดเจาะน้ำมัน และท่อส่งแก๊ส ที่ฝังบนทางหลวงแผ่นดิน ก็เป็นสมบัติของชาติ เป็นภาษีของพวกเรา มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านนะครับ


พี่น้องเสื้อแดงคิดดูให้ดีนะครับ ทักษิณเอาสมบัติชาติ เช่น ปตท. ขายเข้าตลาดหุ้น. แล้วปันผลรวยเป็นเศรษฐีกันไม่ก ี่คน แต่พวกเราคนไทยกว่า 63 ล้านคนไม่มีหุ้นอยู่เลย แล้วอย่างนี้เรียกว่าประชาธิปไต ยหรือเปล่าครับ


พี่น้องเสื้อแดงครับ สมบัติชาติอื่นๆ เช่น ดาวเทียม สนามบิน กฟผ. ไปรษณีย์ องค์การโทรศัพท์ ฯลฯ เป็นเงินภาษีของพวกเรา เป็นสมบัติของชาติอย่างแท้จริง แต่เขามีหุ้นรวย ปันผลกันไม่กี่คน อย่างนี้เรียกประชาธิปไตยหรือเปล่า ครับ


พี่น้องครับ ไม่ว่าสีใดก็ตาม มาร่วมทวงคืนสมบัติชาติของพวกเราเถอะครับ ก่อนที่เราและลูกหลานเราจะไม่มีที่ซุกหัวนอน ก่อนที่กระทรวง ทบวง กรมฯ ที่พ่อหลวงของเราทุกพระองค์ทรง วิริยะอุตสาหะบุกเบิกมาให้ล ูกหลานใช้ จะกลายเป็นบริษัทจำกัดไปหมด แล้วเราจะอยู่กันอย่างไรครั


Thank you for @ความเลววันนี้
littletree_29@hotmail.com
copyจาก littletree_29@hotmail.com ส่งต่อให้เยอะๆ

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาชีพที่กระตุ้นกำหนัดผู้อื่น เป็นบาปตกนรก






หลักฐานอ้างอิงจากพระไตร ปิฏก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ตาลปุตตสูตร


[๕๘๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ ภาคถึงที่ประทับ
ถวาย บังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ
กล่าว ว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ
ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่ง เทวดาผู้ร่าเริง
ใน ข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรพระผู้มีพระภาคตรั สว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด
ท่านอย่าถามข้อนี้กะเราเลย ฯ


[๕๙๐] แม้ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓ พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตร ก็ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์เคยได้ยิน คำของ นักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า
นักเต้นรำคนใด ทำให้คน หัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง
ในท่ามกลางสถานเต้น รำ ในท่าม กลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็น สหายของ เทวดาผู้ร่าเริง ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร ฯ


[๕๙๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี เราห้ามท่านไม่ได้แล้ว ว่า อย่าเลยนายคามณี
ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กะเราเลย
แต่ เราจักพยากรณ์ให้ท่าน ดูกรนายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะ
อันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูก ไว้นักเต้นรำรวบรวมเข้า ไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ในท่าม กลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น
เมื่อ ก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่องผูก คือโทสะผูกไว้
นัก เต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ
ใน ท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อน สัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโมหะ
อันกิเลสเครื่องผูกคือโมหะผูกไว้นักเต้น รำ ย่อมรวบรวมไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ
ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น
นักเต้นรำนั้น ตนเองก็มัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อแตกกายตายไป
ย่อมบังเกิด ในนรกชื่อปหาสะ
อนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง
ในท่าม กลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้า ถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชื่อปหาสะ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด
ดูกร นายคามณี ก็เราย่อมกล่าวคติสองอย่าง คือ
นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่งของบุคคลผู้มีความเห็นผิด ฯ


[๕๙๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่า ตาลบุตรร้องไห้สะอื้น น้ำตาไหล
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณีเราได้ ห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่า
อย่าเลย นายคามณีขอพักข้อนี้เสียเถิด อย่าถามข้อนี้ กะเราเลย ฯ
คามณี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคตรัส อย่างนี้กะข้าพระองค์หรอก
แต่ว่าข้าพระองค์ถูกนักเต้นรำผู้เป็นอาจารย์ และปาจารย์ก่อนๆ ล่อลวงให้หลงสิ้นกาลนานว่า
นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง
ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย ของเทวดาชื่อปหาสะ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระธรรม เทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนักพระผู้มีพระภา คทรงประกาศ ธรรมโดยอเนกปริยาย
ดุจ หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า
คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั้งพระธรรม และภ ิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระ ผู้มีพระ ภาคนายนฏคามณีนามว่าตาลบุตรได้บรรพชา
ได้อุปสมบทในสำนักพระผู้ มีพระภาคแล้ว ท่านพระตาลบุตรอุปสมบทไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว
ไม่ ประมาท มีความเพียร มีใจแน่วแน่ ฯลฯ ก็แลท่านพระตาลบุตรเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายฯ เพราะอำนาจอวิชชานั้นหยั่งรากลึก จึงทำให้มนุษย์ยากจะขุดรากถอนโคนนั้น
แม้ จะพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำผิดบาปให้ทาน รักษาศีล และ ทำภาวนา ครบถ้วน
แต่ เชื้อของกิเลสนั้นยากที่จะตัดหมดไปได้หากผู้ใดกระ ทำการกระตุ้นกำหนัด
คือ กระตุ้นกองกิเลส ให้แก่ผู้อื่น โดยทำเป็นอาชีพ มีนรกขุมหนึ่งชื่อว่า ปหาสะ ไว้รองรับบุคคลผู้นั้น


* ปหาสะ คือ นรกขุมหนึ่งในอเวจี


ที่มา http://guru.sanook.com

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

เบื้องหลังนิติกรรมอำพราง


สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ



คดียึดทรัพย์ครั้งประวัติศาสตร์ 76,000 ล้านบาท กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายได้ทำการยื่นคำแถลงปิดคดี ฝีมือของทนายความและอัยการก็เป็นส่วนหนึ่ง และการพิจารณาคดีความขององค์คณะผู้พิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง

ต้องย้ำเพื่อความเข้าใจกับคนทั่วไปก่อนว่าการอายัดทรัพย์สินครั้งนี้ เป็นการอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับหุ้นเท่านั้น โดยเป็น เงินจากการขายหุ้นชินคอร์ปมีจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 69,000 ล้านบาท และเป็นเงินปันผลอีกประมาณ 7,000 ล้านบาท จึงเป็นที่มาของจำนวนเงิน 76,000 ล้านบาททรัพย์สินเงินทองส่วนอื่นๆ ไม่ได้ถูกอายัดแต่ประการใด

คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้พยายามนำเสนอต่อศาลฎีกาให้เชื่อว่าเกิดการกระทำในสองประเด็น คือ ประการที่หนึ่ง มีการซุกหุ้นในกิจการสัมปทานของรัฐในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ได้ห้ามเอาไว้ และประการที่สองคือมีการกระทำและใช้อำนาจที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ในหุ้นสัมปทานของรัฐที่ซุกอยู่

คตส.พยายามพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน มีเจตนาซุกหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นกิจการที่มีสัมปทานของรัฐ โดยยังคงได้รับผลประโยชน์อยู่เหมือนเดิมผ่านคนถือหุ้นตัวแทนในต่างประเทศ 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท แอมเพิลริช และวินมาร์ค และถือหุ้นผ่านตัวแทนในประเทศอีก 4 คน ได้แก่ลูก 2 คนคือ นายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา และซุกหุ้นผ่านญาติพี่น้องอีก 2 คนคือ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ถ้าศาลเชื่อได้ว่ามีการวางแผนเพื่อถือหุ้นแทนกันในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถือว่าฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ และมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการใช้อำนาจรัฐด้วย เพราะถ้ามาตรการของรัฐบาลที่เอื้อประโยชน์ให้กับหุ้นที่ซุกอยู่มากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ได้รับผลประโยชน์ทั้งราคาหุ้นและการปันผลมากขึ้นไปด้วย

ตัวอย่างจากบทความเรื่อง บันทึก “ลับ” ของพานทองแท้ ซึ่งได้ลงบทความในเว็บไซต์ www.manager.co.th เมื่อวันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 และในหนังสือพิมพ์ ASTV-ผู้จัดการรายวัน เมื่อวันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 แสดงให้เห็นแล้วว่า มีกระบวนการที่คุณหญิงพจมานได้สร้างหนี้สินให้กับนายพานทองแท้ (ลูกชาย) เกินความเป็นจริง โดยภายหลังที่คุณหญิงพจมานและพ.ต.ท.ทักษิณได้โอนหุ้นให้กับนายพานทองแท้ไปแล้ว นายพานทองแท้ก็ยังคงโอนเงินที่ได้รับจากการปันผลทั้งหมดไปเข้าบัญชีของคุณหญิงพจมานทุกครั้ง โดยอ้างเหตุผลว่าที่ต้องเป็นเช่นนี้เพราะลูกต้องจ่ายชำระหนี้ที่ค้างเอาไว้กับแม่

ความไม่แนบเนียนลักษณะนี้ยังเกิดขึ้นมาอีกกับ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร (เอม) ซึ่งเป็นลูกคนที่สอง เมื่ออายุครบ 20 ปี ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ได้รับของขวัญวันเกิดโดยการโอนเงินจากบัญชีของคุณหญิงพจมานเป็นจำนวน 370 ล้านบาท แล้วก็ได้พักบัญชีเงินจำนวนนี้ประมาณ 2-3 เดือน หลังจากนั้น นายพานทองแท้ได้ขายหุ้นชินคอร์ป จำนวน 36.7 ล้านหุ้น ขายในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท มูลค่า 367 ล้านบาท ให้กับน.ส.พิณทองทา ทำให้น.ส.พิณทองทาได้ถือหุ้นชินคอร์ปจำนวน 36.7 ล้านหุ้น ในขณะที่นายพานทองแท้เหลือหุ้นชินคอร์ปประมาณ 36.695 ล้านหุ้น

ด้วยความเกือบพอดีกันของเงินจำนวนที่คุณหญิงพจมานโอนมาให้ น.ส.พิณทองทา กับจำนวนเงินที่ซื้อหุ้นชินคอร์ปเพื่อทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างนายพานทองแท้ กับ น.ส.พิณทองทาเกือบเท่ากัน ตลอดจนเมื่อตรวจสอบประเพณีของครอบครัวนี้พบว่านายพานทองแท้ และน.ส.แพทองธาร (ลูกคนที่สาม) เมื่อมีอายุครบ 20 ปี ก็ไม่เคยได้รับเงินเป็นของขวัญลักษณะเช่นนี้ อีกทั้งนายพานทองแท้ก็ไม่เคยแบ่งเงินจากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับน.ส.แพทองธาร แต่ประการใด พฤติกรรมทั้งหมดนี้ คตส.จึงเชื่อว่าการซื้อขายครั้งนี้เป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อปรับโครงสร้างหุ้นโดยมีคุณหญิงพจมาน ชินวัตรอยู่เบื้องหลัง

คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต หลังการขายหุ้นชินคอร์ปไปแล้ว นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทากลับให้การต่อศาลตรงกันว่าได้โอนเงินบางส่วนจากการขายหุ้นชินคอร์ปของตัวเองไปซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่ประเทศอังกฤษ ในขณะที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลายครั้งว่าการซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้นั้น “เป็นของตัวเอง ตัวเองเป็นผู้ลงทุน และแสดงบทบาทในสโมสรฯ ในฐานะเป็นเจ้าของอย่างชัดเจน”

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้หุ้นที่ คตส.จึงเชื่อว่าได้เคยซุกหุ้นเอาไว้กับลูกทั้งสองคน เมื่อขายหุ้นชินคอร์ปแล้ว ก็โอนกลับคืนมาให้เพื่อการลงทุนและกำกับดูแลโดยนักโทษชายทักษิณอีกครั้งหนึ่งอยู่ดี

คนไว้วางใจนอกครอบครัวอีก 2 คนคือ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ปู) คตส.เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ใช้รูปแบบที่คล้ายคลึงกันกับกรณีของนายพานทองแท้ ชินวัตร คือ

“ยัดหนี้ให้ก่อนและรอเงินปันผลจากหุ้นที่ซุกไว้มาจ่ายคืน โดยอ้างว่าเพื่อชำระหนี้ที่ยัดให้”

คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้ขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ (พี่ชายบุญธรรม) มูลค่าประมาณ 450 ล้านบาท
โดยนายบรรณพจน์ ไม่มีการนำเงินส่วนตัวมาชำระค่าหุ้น แต่ได้ใช้วิธีติดหนี้คุณหญิงพจมาน โดยอ้างว่าได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3 ฉบับตั้งแต่ปี 2542 ให้ไว้เป็นหลักประกันโดยไม่มีดอกเบี้ย

น่าสนใจตรงที่ว่าเวลาผ่านไป 3-4 ปี ไม่มีการชำระหนี้ด้วยเงินส่วนตัวของนายบรรณพจน์คืนเลยทั้งๆ ที่นายบรรณพจน์เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย ซึ่งต่อมามีการนำเงินปันผลจากหุ้นชินคอร์ปมาผ่อนชำระหนี้ตั้งแต่ปี 2546 และชำระครบถ้วนเมื่อประมาณ 2547

เรื่องพิรุธที่อ้างว่าได้มีการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อแสดงความเป็นหนี้ตั้งแต่ปี 2542 นั้น ปรากฏความจริงต่อมาว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับหนึ่ง ลงวันที่ 16 มีนาคม 2542 ได้ระบุว่า สัญญาจะจ่ายเงินชำระหนี้จำนวน 102 ล้านบาท ให้กับ “คุณหญิง” พจมาน ชินวัตร ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น นางพจมาน ชินวัตร ยังไม่ได้ใช้คำนำหน้าว่า “คุณหญิง” เพราะ นางพจมาน ชินวัตร เป็น “คุณหญิง” เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2542 ไม่ใช่ก่อนวันที่ 16 มีนาคม 2542

เมื่อเห็นหลักฐานเช่นนี้ ประชาชนย่อมสงสัยว่าตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งหมดอาจทำปลอมขึ้นมาใหม่โดยเขียน “วันที่ย้อนหลัง” สร้างหลักฐานเท็จว่าเป็นหนี้ต่อกันเพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างถึงเหตุผลในการเอาเงินปันผลไปให้คุณหญิงพจมาน ใช่หรือไม่!?

แต่บังเอิญว่าถูกจับได้ นายบรรณพจน์ จึงได้ให้การต่อศาลในภายหลังว่า “ตั๋วใบเดิมได้หายไปจึงออกตั๋วสัญญาฉบับใหม่” ทั้งๆ ที่คำอธิบายนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในการแจ้งต่อ คตส.แม้แต่ครั้งเดียว

นายบรรณพจน์ “ได้รับเงินปันผลก็ไม่เคยนำไปใช้ส่วนตัวเลย” และนำเงินจากการปันผลของหุ้นชินคอร์ปมาจ่ายให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตรอย่างเดียว โดยอ้างว่าเพราะมีหนี้สินต่อกัน ต่อมาในภายหลังนายบรรณพจน์ ได้เปิด “บัญชีใหม่” ให้แยกออกจากการรับจ่ายส่วนตัว แล้วโอนเงินจากการรวมเงินปันผลที่เหลือทั้งหมดในบัญชีใหม่นี้ รวมถึงเงินจากการขายหุ้นชินคอร์ปก็เข้าในบัญชีนี้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้ทำให้ คตส.เชื่อว่า บรรณพจน์ ดามาพงศ์ คือหุ่นเชิดในการถือหุ้นชินคอร์ปคนสำคัญที่ได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างยิ่งจากคุณหญิงพจมาน ชินวัตร!

สำหรับคนสุดท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 แผนการรูปแบบเดิมๆ ไม่ต่างจากนายบรรณพจน์ และพานทองแท้ คือเป็นการรับหุ้นโดยไม่ได้มีการชำระเงิน (ทั้งๆ ที่เป็นมหาเศรษฐีอีกคนหนึ่ง) แต่กลับให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อยอมรับว่าเป็นหนี้ต่อกันเป็นจำนวน 20 ล้านบาท

โปรดสังเกตให้ดีว่า “ยิ่งลักษณ์” ยอมรับว่าเป็นหนี้ “ทักษิณ” 20 ล้านบาท!

ช่างเป็นความบังเอิญอย่างร้ายกาจ รูปแบบของน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไม่ต่างพฤติกรรมจากนายบรรณพจน์เช่นเดียวกัน คือ แม้จะมีเงินเข้าบัญชีอย่างน้อยหลายสิบล้านบาท แต่ก็ไม่เคยเอาเงินส่วนตัวคืนให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลาถึง 3 ปีเศษ

มาปี 2546 น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงได้มีการนำเงินจากการปันผลมาคืนหนี้ค่าหุ้นที่ได้รับโอนมา (ซึ่งเป็นปีเดียวกันที่นายบรรณพจน์เริ่มนำเงินปันผลมาชำระหนี้) โดยพอได้เงินปันผลหุ้นชินคอร์ปมางวดแรก 9 ล้านบาท ก็จ่ายเงินด้วยเช็คให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 ทำให้เหลือหนี้อีก 11 ล้านบาท

พอได้รับเงินปันผลครั้งที่ 2 อีกจำนวน 13.5 ล้านบาท คงเป็นเพราะความเคยชิน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงได้เผลอเขียนเช็คสั่งจ่ายไปอีก 13.5 ล้านบาทตามจำนวนเต็มที่ได้รับปันผลมา (ทั้งๆ มีหนี้เหลือเพียง 11 ล้านบาท) แต่ด้วยความเป็นนักธุรกิจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงได้เฉลียวใจว่าจะเป็นการชำระเกินหนี้ที่มีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้แก้ไขเช็คฉบับดังกล่าวด้วยการขีดคาดตัวเลข 13.5 ล้านบาท และแก้ไขเป็นตัวเลข 11 ล้านบาท “ในเช็คใบเดียวกัน”

แต่ความเฉลียวใจนี้ไม่ได้ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปลี่ยนเช็คใบใหม่ ทำให้ คตส. มีเช็คฉบับ “เผลอหลุดไป” อยู่ในมือของ คตส.เป็นที่เรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังเหลือเงินปันผลอีก 2.5 ล้านบาท ที่ไม่ต้องเป็นหนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว
แต่เรื่องแบบนี้เงินปันผลถ้ามาจากการถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ มีหรือจะเข้ากระเป๋าของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ง่ายๆ!?

ในที่สุดเงิน 2.5 ล้านบาท น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้โอนเงินไปให้ น.ส.พิณทองทา ลูกสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้อ้างว่าเป็นค่านาฬิกาหรูหลายเรือนซึ่งบังเอิญว่าตัวเลขตรงกันพอดิบพอดี ในเวลาที่พอเหมาะพอกันอย่างเหลือเชื่อ

หลังจากเงินปันผลงวดนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เปลี่ยนวิธีเป็นการถอนเงินสดออกจากบัญชีในแต่ละครั้งไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรายงานต่อคณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงิน โดยหลายครั้งปรากฏว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของพรรคไทยรักไทยเป็นผู้มาทำหน้าที่ถอนเงินสดออกจากบัญชี โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรค!

ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าไม่มีรัฐประหาร และไม่มี คตส.ในวันนั้น ประชาชนตาดำๆ คงไม่มีวันจะไปรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้เลย!


Mr. Dinhin Rakpong-Asoke
99 / 293 M.10, Bangkok Boulevard Village [ Ratchada - Ram Intha ]
Kanjanaphisek Rd. 10/1 , Khanna-Yao district,
Khanna-Yao, Bangkok - 10230
THAILAND

โทรบ้าน : 02-3477375
มือถือ : 086-9001177
แฟกซ์ : 02-3790131
E-Mail : dinhin2503@gmail.com
ดูผลงานที่นี่...http://www.flickr.com/photos/46401501@N00/
และ http://wallpaper.thaiware.com/wallpapers_view.php?album_id=7017&showall=1


วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

นกแสนสวยกับคนขายถั่ว



สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ

กาลครั้งหนึ่งนาน มาแล้ว มีนกแสนสวยตัวหนึ่ง
มีขนสวยงามมาก มีคนอยากได้ไว้ครอบครองเป็นจำนวน มาก
แต่ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนจับนกตัวนั้นได้เลย
อยู่มาวัน หนึ่งมี อาบัง ขายถั่วมานั่งใต้ต้นไม้ที่มีนกแสนสวยอยู่


พอนกแสนสวย เห็นถั่วของอาบังก็เกิดอยากกินขึ้นมา จึงร้องบอกอาบังว่า
“อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ”
อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า
“ได้ เลย ได้เลย แต่ขอขนให้ชั้นเส้นนึงนะ”


พอนกได้ยินดัง นั้น ก็ก้มลงมองที่ขนของตนเอง
แล้วคิดว่า ขนของตนเองนี่มีเยอะมาก เสียไปสักเส้นคงไม่เป็นไรหรอก
นกแสนสวยก็เลยให้ขนอาบังไปหนึ่งเส้น แล้วก็ลงไปกินถั่วของอาบัง
วันต่อมานกแสนสวยก็บอกกับอาบังอีกว่าขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ
อา บังก็ตอบเหมือนเดิมว่าขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน
นกแสนสวยก็คิด เหมือนเดิมว่าขนมันยังมีอยู่เยอะก็เลยให้ขนอาบังไปอีก
เป็น อย่างนี้ต่อไปอีกหลายวัน

จนวันหนึ่ง นกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก
อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน
นกก็ไม่รีรอรีบให้ขนอาบังไปทันที แล้วลงมากินถั่วของอาบัง
อาบังก็เลยจับนกตัวนั้นไว้ได้ เพราะว่าขนของมันเหลือน้อยแล้วไม่สามารถที่จะบินหนีอาบังได้


เรื่องนี้ถ้า อ่านผ่านไปอาจจะไม่ได้อะไรเลย
แต่ถ้าเราลองคิดให้ดี เปลี่ยนจากนกแสนสวยเป็นตัวเรา
ขนของนกแต่ละเส้นคือเวลาของเราที่ เสียไป
และอาบังเป็นนายจ้างของเราส่วนถั่วที่อาบังให้ก็เหมือนกับเงิน เดือนที่นายจ้างให้
เรา
หมายความว่า ทุกวันนี้ ถ้าเรายังประมาทในการใช้ชีวิตยังพอใจ แค่เงินเดือนที่นายจ้างให้เราทุกเดือน
เวลาของเราก็จะค่อยๆหมดไป เรื่อยๆ เวลาของเราไม่ได้มีมากมายหรอก
ถ้าอายุซัก 100 ปี ก้อมีเวลา 36500 วัน แป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็หมดไปแล้ว



ซึ่งเงิน เดือนที่นายจ้างให้เราเนี่ยก็ให้แค่พอเราอยู่ได้ทุกเดือนเท่านั้น แหละ
บางคนอาจจะคิดว่าการทำงานประจำเป็นอาชีพที่มั่นคง
แต่ เราถูกจำกัด เพราะการเป็นลูกจ้างเค้าเนี่ยเราไม่สามารถที่จะกำหนดวิถี ชีวิตของตัวเองได้
เราถูกนายจ้างเรากำหนดให้ต่างหากว่าจะหยุดวันไหนวันนี้จะทำอะไร
หลาย คนยึดติดกับความคุ้นเคยกับความสบายเพียงแค่วันนี้

แต่ลองมองให้ไกลๆ มองถึงอนาคตของเราว่า
เราจะหยุดทำงานเมื่อไหร่เราจะใช้ชีวิตในวัย เกษียณอย่างไร
อย่าเป็นเหมือนนกแสนสวยที่รู้ตัวก็ตอนที่ตัว เองไม่มีขนอยู่ที่ตัวแล้ว



ขอบคุณ...fwd mail
--

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ข้อคิดจากนกอินทรี



สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ


นกอินทรีมีชีวิตที่ยืนยาวที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก มันสามารถมีชีวิตได้นานถึง๗๐ปี แต่ก่อนที่จะอยู่นานถึงป่านนั้น นกอินทรีต้องมีการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
เมื่ออายุได้ ๔๐ ปี ตอนนั้นกรงเล็บที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของมันจะไม่สามารถจับสัตว์เป็นอาหารได้อีก จะงอยปากที่แหลมคมเริ่มโค้งงอ เนื่องจากมันอายุถึง ๔๐ ปีแล้วจึงมีปีกที่หนาและหนักขนยาวที่รุงรังจะไปรวมกันที่อก ทำให้บินลำบากมากขึ้น
เมื่อนั้นมันจะมีทางเลือกอยู่ ๒ ทาง
นั่นคือตายไปเสีย หรือจะตัดสินใจที่จะอยู่ต่อไป ซึ่งต้องเผชิญความเจ็บปวด
ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงชีวิต เป็นระยะเวลายาวนานถึง ๑๕๐ วัน
ขั้นตอนนี้มันจะต้องบินขึ้นไปบนยอดภูเขาสูง และอยู่ที่รัง มันจะต้องใช้จะงอยปากที่โค้งทื่อจิกเคาะกับก้อนหิน ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งจะงอยหลุดออกมา หลังจากนั้นมันจะรอให้จะงอยปากอันใหม่งอกขึ้นมา และพอจะงอยปากงอกออกมาแล้ว ก็ถึงคราวที่กรงเล็บจะงอกขึ้นมาใหม่ เมื่อกรงเล็บใหม่งอกขึ้นมาสมบูรณ์แล้ว มันจะเริ่มจิกถอนขนที่ดกหนาแล้วผลัดขนใหม่
หลังจาก ๕ เดือนหรือ ๑๕๐ วันผ่านไปขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงก็จะเสร็จสมบูรณ์ นกอินทรีก็จะบินสูงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง พร้อมกับร้องเสียงดังก้อง
สะท้านฟ้า คล้ายดังเป็นการประกาศก้องว่า ข้ากำเนิดใหม่แล้ว
และจะมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไปอีก ๓๐ ปี..

จากชีวิตของมันทำให้เราเรียนรู้ว่า..
หลาย ๆ ครั้ง...เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เราต้องมีขั้นตอน-กระบวนการเปลี่ยนแปลงตนเอง
บางครั้งเราต้องลืมอดีตที่ขมขื่น นิสัยเก่าๆ ที่เคยชิน
ความผิดหวังต่างๆ
ดังนั้นเราจำเป็นต้องปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากนิสัย หรือสภาพ
แวดล้อมเดิมๆ เพื่อที่จะมีชิวิตอยู่ต่อไปอย่างราบรื่นในปัจจุบัน
ขอบพระคุณ Fw..annie buriraim@hotmail.com
ภาพจาก..http://www.oknation.net/blog/print.php?id=174459
http://www.thebestinsure.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=425682



วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รวมใจให้แผ่นดินและร่วมใจ พิทักษ์กรุงเทพฯ ไม่ให้เป็นทะเลเพลิง

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ
กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทันนะครับ
หากคนดีเพิกเฉยต่อประเทศชาติ คนเลวก็ครองเมืองเท่านั้นเองครั

www.spt-th.com

แถลงการณ์ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
เรื่อง รวมใจให้แผ่นดินและร่วมใจพิทักษ์ กรุงเทพฯ ไม่ให้เป็นทะเลเพลิง
---------------------


โดยที่ปรากฎชัดเจนจากการรณรงค์ผ่านโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมของคน เสื้อแดงว่า จะระดมประชาชนจากต่างจังหวัด 1 ล้านคน และเอาน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาคนละลิตรเพื่อเผากรุงเทพฯ ให้เป็นทะเลเพลิง และล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวผ่านวิดีโอลิ้งค์ว่า ถ้าถูกยึดทรัพย์และไม่ได้รับนิรโทษกรรมจะ เละแน่ ซึ่งเป็นการแสดงอาณัติสัญญาณในการก่อความรุนแรงถึงขนาดที่ เรียกว่าปิดล้อม กรุงเทพฯ ก่อวินาศกรรมและเผาให้เป็นทะเลเพลิง


และเป็นที่ปรากฏชัดเจนเช่นเดียวกันว่ารัฐบาลผสมที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เพิกเฉยละเลยในการป้องกันกรุงเทพมหา นคร ในการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์และความปลอดภัยของประชาชน การแสดงออกของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ส่อให้เห็นว่ายึดแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นใน บ้านเมือง ก่อนจึงจะดำเนินการตามหน้าที่ ทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่ป้องกันและขัดขวาง ไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น


ทั้งด้านผู้ก่อความรุนแรงและด้านของรัฐบาลประกอบกันเข้าแล้วเห็น ได้ชัดเจน ว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ที่อาจทำให้กรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งได้สถาปนามา 228 ปี แล้วเสี่ยงต่อการที่ต้องตกอยู่ในทะเลเพลิง


จากการติดตามข่าวสารของสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย พบว่าในขณะนี้กำลังมีการปลุกระดมประชาชนและเตรียมแผนการขนประชาชน จากต่าง จังหวัดเข้ากรุงเทพฯ ในหลายพื้นที่เป็นจำนวนมาก มีการเตรียมขวดและถุงสำหรับใส่น้ำมันเชื้อเพลิง มีการเตรียมทำระเบิดและยังมีข่าวการขนอาวุธจากชายแดนกัมพูชาเข้า กรุงเทพฯ นอกจากนั้นยังมีข่าวการระดมกองกำลังต่างด้าวและกองกำลัง ที่ถูกจัดตั้งขึ้น เข้ากรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก ล่าสุดได้พบว่ามีแผนการที่จะปิดล้อมกรุงเทพฯ โดยสร้างสถานการณ์ให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงทุกทางเข้า-ออกกรุงเทพฯ และจะมีการเผาสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่งตามที่มีการประกาศไว้ รวมทั้งได้พบแผนการตัดน้ำประปา ไฟฟ้า และโทรศัพท์ก่อนปฏิบัติการด้วย นับเป็นภัยอันตรายร้ายแรงที่ใกล้ถึงตัวเต็มที


ดังนั้นสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า ในนามขององค์กรผู้แทนของภาคประชาชน จะไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาเผา ทำลายกรุงรัตนโกสินทร์และกรุงเทพมหานครเป็นอันขาด กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นนครหลวงและเป็นศูนย์กลางของประเทศไทยจะต้อง ดำรงอยู่ ต่อไป แต่ในเมื่อตั้งความหวังและพึ่งอาศัยรัฐบาลไม่ได้ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้พี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ทุกหมู่ เหล่า โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนในกรุงเทพมหานครไม่ว่าจะเป็นข้าราชกา ร ทหาร ตำรวจ หรือประชาชนโดยทั่วไปได้ร่วมใจกันจัดกลุ่มป้องกันตนเอง ป้องกันชุมชนของตนเอง และขัดขวางไม่ให้ผู้ใดมาเผาหรือทำลายไม่ว่าด้วย ประการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในกรุงเทพมหานครหรือหัวเมืองสำคัญ ๆ อาทิ เชียงใหม่ อุดรธานี เป็นต้นและเพื่อการนี้ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศ ไทยขอทำความเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายได้ให้ อำนาจประชาชนในการป้องกันตนเองให้พ้นจากภัยอันตราย และให้สิทธิ์ในการใช้อาวุธและอื่น ๆ เพื่อป้องกันตนเองด้วย


เนื่องจากสถานการณ์ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้คน ไทยทุกหมู่เหล่ามีความรักสามัคคี ปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พิทักษ์ชุมชนและทรัพย์สินของตนเอง พร้อมชีวิตครอบครัวและบุตรหลาน ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในที่ตั้ง และพร้อมที่จะออกมาแสดงพลังแผ่นดินร่วมกันได้ทันทีที่สถานการณ์จำเป็น.



สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
เลขาธิการ
23 กุมภาพันธ์ 2553


วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

"การเมือง(เน่า)เหม็น.....การเมืองใหม่."

สำนึกดีจิตสาธารณ จิตอาริยะ

การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยืนหยัดต่อต้านรัฐบาล"พลังประชาชน"ร่างทรงอมตะของ "ทักษิณ -ไทยรักไทย "ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งเปิดการชุมนุมย่อย"ดาวกระจาย"ในต่างเมืองด้วยเพื่อเปิดเผยความรู้ ความสัจจริงที่ต้องรู้แจ้งจริง เพื่อเปิดโปงความชั่วช้าซ่อนเร้นที่ต้องรู้เท่าทัน นับเป็นนิมิตรใหม่ที่งดงามของประชาธิปไตย..ประชาธิปไตยภาคประชาชน..อธิปไตยของปวงชน ชี้ชัดยิ่งนักว่าแผ่นดินนี้อยู่ในมือประชาชน



การเมืองการปกครองในอดีตกาล อิงอ้างรัฐธรรมนูญและตัวบทกฏหมายเป็นหลักการ แต่บังอาจพลิกพลิ้ว ล้มล้างเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญและตัวบทกฏหมาย ความชอบธรรมสิ้นเชิง ก่อกำเนิดนักการเมืองชั่วช้าสามานย์สบโอกาสสืบทอดเผ่าพันธ์ยึดครองแผ่นดินเบ็ดเสร็จ ณ บัดนี้ด้วยพลังอำนาจโสมมของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติและกำเริบร้ายหมายกัดกร่อน สถาบันตุลาการ!



ณ วันนี้ ยังไม่สายเกินที่จะรวมพลังหยุดยั้งล่มสลายขบวนการชั่วร้าย ทำลายชาติไทย อันประกอบด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตราธิราช ภายใต้อำนาจสูงสุด "อธิปไตย" ของประชา"(ชน)

"ประชา+อธิปไตย"....ประชาธิปไตย หากยังไม่ละเป้าหมาย และพากเพียรเดินต่อไป จนเกิดก่อนักการเมืองมีคุณธรรมสำนึก ทำงานการเมืองด้วยความซื่อสัตย์เสียสละ...


สลายพลังขบวนการการเมือง(เน่า)เหม็นสิ้น

และสถาปนาการเมืองใหม่...การเมืองอาริยะ..การเมืองที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแด่มวลมนุษยชาติ..



Welcome

ธรรมสามัคคี

SocialTwist Tell-a-Friend

AddThis

Bookmark and Share

มิตรภาพไร้พรมแดน

สถิติผู้มาเยี่ยมเยือน

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก